โดย ดร.บัณฑิต อารอมัน
นักวิจัยประจำศูนย์เอเชียใต้ศึกษา
สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อินเดียมีอาณาเขตดินแดนที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านมากถึง 8 ประเทศด้วยกัน คือ บังกลาเทศ จีน ปากีสถาน เนปาล เมียนมา และภูฏาน ส่วนศรีลังกาและมัลดีฟส์มีอาณาเขตทางทะเลติดต่อกับอินเดียในทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามลำดับ ซึ่งศรีลังกาและมัลดีฟส์ ถือเป็นประเทศจุดยุทธศาสตร์สำคัญในมหาสมุทรอินเดีย ดังนั้นการรักษาความสัมพันธ์และรักษาผลประโยชน์ต่อประเทศเพื่อนบ้านจึงมีความสำคัญต่ออินเดียอย่างยิ่ง
ในปี 2015 จากนโยบาย “เพื่อนบ้านมาก่อน” (neighborhood first policy) ของนายนเรนทรา โมดิ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้ส่งสัญญาณว่าอินเดียมีเจตนารมณ์ต่อการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 8 ประเทศ แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาภายใต้การนำของนายนายนเรนทรา โมดิ กลับต้องเผชิญกับภัยแทรกแซงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ที่ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กระหว่างประเทศกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามจากโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (one belt one road) ของจีนในเอเชียใต้ ซึ่งทำให้ประเทศเล็กๆ ในเอเชียใต้เริ่มปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายไปพึ่งพาการลงทุนกับจีนมากขึ้น ตลอดจนประเด็นข้อพิพาทระหว่างพรมแดนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปากีสถาน จีน และเนปาล
นโยบาย “เพื่อนบ้านมาก่อน” ของอินเดียจึงมีคำถามตามมาและมีข้อถกเถียงว่า นโยบายดังกล่าวนี้จะสามารถทำให้อินเดียกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ได้จริงหรือไม่ เพราะผลที่ตามมาจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวกลับมีทิศทางตรงกันข้าม อันเนื่องมาจากประเด็นความละเอียดอ่อนของข้อพิพาทและปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรมแดนของอินเดียกับประเทศเพื่อนบ้าน จนนำมาสู่การเผชิญหน้าและใช้กำลังทางทหารอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นปากีสถานที่มีประเด็นข้อพิพาทในดินแดนแคชเมียร์ (Kashmir) หรือแม้กระทั่งจากกรณีล่าสุดที่มีการปะทะกันระหว่างทหารอินเดียและทหารจีนในดินแดนข้อพิพาทบริเวณหุบเขากาลวาน (Galwan valley) โดยต่างฝ่ายต่างโจมตีกันด้วยข้ออ้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรุกล้ำดินแดนข้อพิพาท การก่อสร้างถนนและพัฒนาพื้นที่ และการยั่วยุของทหารทั้งสองฝ่ายตามตะเข็บชายแดน ดังนั้นการดำเนินนโยบายต่างประเทศของอินเดียจึงเป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก
ตรงกันข้ามกับเนปาลซึ่งเป็นประเทศไม่มีทางออกทางทะเล (Land lock) อาณาเขตของเนปาลมีพรมแดนทางทิศเหนือติดกับประเทศจีน และทิศตะวันตกและตะวันออกติดกับอินเดีย ด้วยลักษณะภูมิประเทศทำให้เนปาลจำเป็นต้องพึ่งพาผลประโยชน์ในด้านต่างๆ จากอินเดียและจีนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเนปาลจึงเปรียบเสมือนประเทศกันชนระหว่างมหาอำนาจทั้งสองประเทศ ทำให้เนปาลจึงต้องดำเนินนโยบายการต่างประเทศอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาดุลอำนาจระหว่างมหาอำนาจทั้งสองนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงขนส่งคมนาคมผ่านพรมแดนในจุดต่างๆประเทศ
ข้อพิพาทระหว่างอินเดียกับเนปาลเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับเนปาลในยุคปัจจุบัน ความขัดแย้งในดินแดนข้อพิพาทของทั้งสองประเทศปะทุขึ้นหลังจากสภาเนปาลมีมติเห็นชอบต่อการกำหนดเขตแผนที่ประเทศขึ้นใหม่ เมื่อวันพุธที่ 17 มิถุนายน 2020 โดยรวมเขตพื้นที่ช่องเขาลิปูเลค (Lipulekh pass) การลาปานี (Kalapani) และลิมปิยาดุร่า (Limpiyadhura) ซี่งมีที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเนปาล ติดกับพรมแดนที่กั้นระหว่างจีนและอินเดีย
การตัดสินใจกำหนดเขตแผนประเทศขึ้นใหม่ของเนปาลในครั้งนี้ถือเป็นการที่ตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ โดยจะมีขยายอาณาเขตจากเดิมที่มีอาณาเขต 147,181 ตารางกิโลเมตร เป็น 147,516 ตารางกิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากเดิม 335 ตารางกิโลเมตร ท่าทีที่แข็งกร้าวของเนปาลนี้ส่งผลให้เนปาลต้องเผชิญกับการกดดันจากอินเดียในหลายๆ ด้านตามมา โดยเฉพาะทางด้านการเชื่อมโยงการค้าระหว่างพรมแดน ด้านงบประมาณในการช่วยเหลือจากอินเดียด้วย แน่นอนว่าอินเดียไม่ยอมรับและปฏิเสธการประกาศเขตแผนที่ประเทศใหม่ของเนปาลทั้งในระดับรัฐและระดับประชาชน โดยอินเดียอ้างเขตกรรมสิทธิ์พื้นที่การปกครองดังกล่าวว่า เป็นที่ตั้งฐานทัพของทหารอินเดียเพื่อรักษาความสงบบริเวณชายแดนระหว่างอินเดียกับจีน
เมื่ออินเดียเริ่มมีการก่อสร้างถนนและพัฒนาพื้นที่ในบริเวณดินแดนข้อพิพาทในช่องเขาลิปูเลค (Lipulekh Pass) โดยอ้างว่าเป็นดินแดนที่อยู่ในเขตของรัฐอุตตราขัณฑ์ (Uttarakhand) สภาของเนปาลจึงจุดประเด็นสำคัญนี้ขึ้นมาถก เพื่อลงมติเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภาต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศใหม่นี้ขึ้นมา จุดยุทธศาสตร์ดังกล่าวเปรียบเสมือนดินแดนสามเหลี่ยมระหว่างอินเดีย จีน และเนปาล เป็นพื้นที่ในเทือกเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,700 ฟุต การแย่งชิงข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อความสัมพันธ์และการเมืองระหว่างประเทศของภูมิภาค โดยอินเดียมองว่า การแข็งกร้าวของเนปาลครั้งนี้จีนน่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลังและให้การสนับสนุน แต่เนปาลอ้างว่าต้นเหตุจากการประกาศแบ่งเขตการปกครองพิเศษภายใต้รัฐธรรมนูญ 370 ของอินเดีย ที่แบ่งแยกเขตการปกครองแคชเมียร์ (Kashmir) และลาดัก (Ladakh) ให้เป็นเขตปกครองพิเศษนั้น ส่งผลให้อินเดียมีสิทธิ์กำหนดเขตแดนของประเทศซึ่งรวมถึงดินแดนข้อพิพาทแห่งนี้ด้วย เนปาลจึงไม่ยอมรับและผลักดันให้สภาออกมติต่อการกำหนดแผนที่ประเทศของเนปาลขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ภาคประชาชนชาวเนปาลก็ออกมาแสดงความไม่พอใจต่ออินเดีย โดยชาวเนปาลออกมาเรียกร้องกรรมสิทธิ์เหนือพื้นข้อพิพาทดังกล่าว โดยเฉพาะบริเวณเขตกาลาปานี (Kalapani) ว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของเนปาลมาตั้งแต่อดีต
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะพิจารณาว่าดินแดนนี้ใครมีกรรมสิทธิ์ชอบธรรมในการปกครอง คงต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และหลักฐานต่างๆ ที่จะสามารถเชื่อมโยงเรื่องราวที่เกิดขึ้น น่าสนใจว่าในประเด็นความขัดแย้งทางพรมแดนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยการปกครองของกษัตริย์พรีวี่ นารันยา ชาร์ (Prithvi Narayan Shah) ในช่วงศตวรรษที่ 18 ซึ่งได้แยกการปกครองดินแดนเนปาลเป็นเอกเทศ กษัตริย์พรีวี่ นารันยา ชาร์ (Prithvi Narayan Shah) ได้ขยายอาณาเขตดินแดนของเนปาลระหว่างสิกขิม (Sikim) ทางด้านทิศตะวันออกจนถึงรัฐอุตตราขัณฑ์ (Uttarakhand) ทางด้านทิศตะวันตก ผนวกเข้าเป็นดินแดนเนปาล ต่อมาราวในช่วงปี 1814-1816 เกิดความขัดแย้งกับบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) จึงมีการทำสงครามระหว่างเนปาลกับอังกฤษ พื้นที่ข้อพิพาทดังกล่าวจึงเป็นประเด็นข้อแย้งสำคัญระหว่างอังกฤษกับเนปาล แต่สงครามก็จบลงด้วยกับการกำหนดเขตแดนระหว่างอังกฤษและเนปาลภายใต้สนธิสัญญาซุกัวลี่ (Treaty of Sugauli) ซึ่งเป็นการกำหนดเขตแดนระหว่างบริษัทอินเดียตะวันออกกับเนปาล ซึ่งผลต่อการแบ่งอาณาเขตครอบครองมาจนถึงปัจจุบัน
ภายใต้สนธิสัญญาซุกัวลี่ เนปาลต้องเสียดินแดนให้กับบริษัทอินเดียตะวันออกถึงหนึ่งในสามของดินแดนทั้งหมด ซึ่งรวมถึงสิกขิม (Sikim) คูเมา (Kumaon) และการฮ์วาล (Garhwal) ซึ่งปัจจุบันการฮ์วาลอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐอุตตราขัณฑ์ในอินเดีย เมื่อพิจารณาจากสนธิสัญญาซุกัวลี่ เนปาลอ้างว่า ลิมปียาดุร่า (Limpiyadhura) คือจุดกำเนิดของแม่น้ำมหากาลี (Mahakali river) หากใช้จุดกำเนิดของแม่น้ำสายนี้ย่อมแสดงให้เห็นถึงพรมแดนระหว่างอินเดียกับเนปาลได้อย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงช่องเขาลิปูเลค (Lipulekh pass) กาลาปานี (Kalapani) และลิมปิยาดุร่า (Limpiyadhura) ที่เนปาลอ้างกรรมสิทธิ์ในการกำหนดอาณาเขตประเทศใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ถึงปัญหาข้อพิพาทดังกล่าวนี้จะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้อธิบายถึงความเกี่ยวโยงกับจีน พื้นที่ดังกล่าวแม้ว่าจีนไม่เผชิญหน้าโดยตรงกับอินเดีย แต่ความขัดแย้งแบบตัวแทนของจีนอาจเกี่ยวข้องกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของเนปาลด้วย
การดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวต่ออินเดียในครั้งนี้เป็นนัยสำคัญนี้ทำให้เชื่อได้ว่าจีนมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในเนปาล และต่อกรณีข้อพิพาทในครั้งนี้ ในขณะเดียวกันกระแสของภาคประชาชนของเนปาลก็เป็นอีกหนึ่งแรงกระเพื่อมหนึ่งที่สร้างแรงกดดันและกระตุ้นรัฐบาลมากขึ้น โดยประชาชนในเนปาลต่อต้านอินเดียในการอ้างกรรมสิทธิ์ในดินแดนพื้นที่ข้อพิพาท และออกมาแสดงจุดยืนว่า ดินแดนข้อพิพาทเป็นดินแดนของเนปาลมาตั้งแต่เดิม
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การพัฒนาความเชี่ยวชาญเอเชียใต้ศึกษา South Asian Experts”
ที่ได้รับทุนสนับสนุนโครงการจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
References
– https://theprint.in/opinion/modis-neighbourhood-first-push-is-being-pulled-down-by-decades-of-policy-stagnation/365895/
– https://www.careerpower.in/neighbouring-countries-of-india.html
– https://www.bbc.com/news/world-asia-52967452
– https://kathmandupost.com/national/2020/05/20/government-unveils-new-political-map-including-kalapani-lipulekh-and-limpiyadhura-inside-nepal-borders
– https://www.aljazeera.com/news/2020/06/nepal-parliament-approves-map-includes-land-india-claims-200618074902407.html
– https://indianexpress.com/article/explained/the-new-indian-road-to-lipu-lekh-nepals-protests-and-the-strategic-importance-of-the-area-6413914/
– http://narayan-puri.blogspot.com/2011/07/what-is-sugauli-treaty.html