สื่อมุสลิมในไทย

โดย ดร.บัณฑิต อารอมัน

นักวิจัยประจำศูนย์เอเชียใต้ศึกษา

สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เผยแพร่ครั้งแรกที่ MAPPING EXTREMISM IN SOUTH ASIA วันที่ 6 มิถุนายน 2562

https://xstremarea.home.blog/2019/06/06/islam-and-media/

โรคเกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia) เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามกับกลุ่มศาสนาอื่น ๆ อิสลามถูกมองว่าเป็นศาสนาที่ใช้ความรุนแรง และนำคำสอนของศาสนามาชักจูงให้เกิดการก่อการร้ายทั่วทุกมุมโลก แต่การมองอิสลามในลักษณะนี้ คือ การมองแบบเหมารวม (Stereotype) ซึ่งต้องแยกแยะอย่างละเอียดว่ากลุ่มใดในอิสลามที่มุ่งหมายต่อการกระทำความรุนแรง และกลุ่มใดที่ต่อต้านความรุนแรง ทั้งที่ทุก ๆ หลักคำสอนของศาสนาอิสลามนั้น เน้นในเรื่องความสันติ ความสงบสุข ความอดทนอดกลั้น การให้ความช่วยเหลือ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ดังนั้นสื่อมุสลิมจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำให้สังคมไทยเข้าใจอิสลามอย่างถูกต้อง เพื่อขจัดความเกลียดชังและนำมาสู่ความแตกแยกในสังคม

สถานการณ์สื่อมุสลิมในปัจจุบัน

ปัจจุบันมุสลิมในไทยกำลังประสบปัญหาการหลงใหลวัตถุนิยมมากเกินไป ด้วยกับสภาพแวดล้อมและการเติบโตของเทคโนโลยี ทำให้ผู้ที่ทำสื่อต้องเริ่มคิดใคร่ครวญใหม่ว่า แท้ที่จริงแล้วมุสลิมกำลังออกห่างจากศีลธรรมของอิสลามมากขึ้นหรือไม่ ด้วยปัญหาดังกล่าว ผู้ที่จัดทำสื่อจึงมีแนวคิดที่จะจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านสัญญาณดาวเทียมมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายทั้งพี่น้องมุสลิมและคนต่างศาสนิกทั่วประเทศมีรายการที่ส่งเสริมศีลธรรม จริยธรรม สื่อการเรียนการสอน ถามตอบปัญหาศาสนา ทั้งในด้านการดำเนินชีวิตและวิถีปฏิบัติของอิสลามที่ถูกต้อง ตามแนวทางคำสอนของคำภีร์อัลกรุอ่านและปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านศาสนดามูฮำหมัด (ซล) ทำให้มีผู้คนเริ่มกลับมาสนใจเรื่องราวของศาสนาอิสลามมากขึ้น และเป็นทางเลือกใหม่ในการศึกษาอิสลามอย่างเข้าใจ

สื่อมุสลิมในไทยจึงต้องเน้นย้ำในเรื่องของการนำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลามผ่านรูปแบบของการบรรยายธรรม ข่าว ละคร จนถึงการลงพื้นที่เพื่อสะท้อนสภาพของสังคมมุสลิมในแต่ละท้องที่ ตลอดจนติดตามความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกมุสลิมเพื่อให้สังคมไทยเข้าใจอิสลามมากขึ้น

การก่อตั้งสื่อมุสลิมในไทยต้องอาศัยส่วนประกอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้สนับสนุนทุนตั้งต้น บุคลากร เทคโนโลยี และการโฆษณา ซึ่งจะต้องมีแผนการดำเนินการระยะยาว เพื่อให้สามารถยืดหยัดในเวทีสื่อได้ ทั้งนี้มีสื่ออีกหลายสำนักที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จึงต้องล้มหายตายจากไปตามสภาพสถานะทางเศรษฐกิจของตนเองในประเทศไทย แต่ก็ยังคงมีสำนักสื่อมุสลิมมากมายกำเนิดขึ้น อาทิ ทีวีมุสลิม ยาตีมทีวี ไวท์แชนแนล มุสลิมไทยโพสต์

การจะทำให้สำนักข่าวมุสลิมมั่นคงได้นั้น สื่อมุสลิมไทยทุกสำนักต้องวางแผนที่จะหารายได้อย่างเพียงพอ ซึ่งสำนักสื่อส่วนใหญ่ยังต้องพึ่งพารายได้ของตนเองเป็นหลักด้วยกับการโฆษณาและการขอรับบริจาคจากประชาชนที่เข้ามาเป็นสมาชิก โดยผ่านการเชิญชวนในโอกาสและวาระต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงของเดือนรอมฏอน วันตรุษ และในวันสำคัญอื่น ๆ

รวมทั้งต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสาร เพิ่มการเข้าถึงกลุ่มประชาชน โดยเฉพาะในท้องถิ่นผ่านการนำเสนอในรูปแบบนวัตกรรมใหม่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการจัดงานร่วมกัน เพื่อนำรายได้มาพัฒนาสื่อของตนเอง รวมทั้งการสนับสนุนผู้ยากไร้ เด็กกำพร้า และการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือการสร้างสื่อเฉพาะกิจขึ้นมาในช่วงเวลาที่สำคัญต่างๆ โดยเฉพาะในเดือนรอมฎอนที่เน้นในเรื่องของการนำเสนอความเข้าใจอิสลาม มีคณาจารย์ที่มีความรู้ทางศาสนาลซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นในด้านการนำเสนอการแปลความหมายและอรรถาธิบายความหมายของคำภีร์อัลกรุอ่าน รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติศาสนากิจที่ถูกต้อง ในขณะที่บางสำนักก็ให้ความสำคัญต่อการนำเสนอในรูปแบบละครสอนใจ และวาไรตี้ต่าง ๆ อีกด้วย

มุสลิมไทยโพสต์ ( Muslimthaipost )มุสลิมไทยโพสต์ ( Muslimthaipost )

หนึ่งในสื่อมุสลิมที่มีบทบาทสำคัญบนโลกออนไลน์ คือ เว็บไซต์มุสลิมไทยโพสต์ถือเป็นเว็บไซต์ที่มีคนติดตามจำนวนมากผ่านการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะทางเฟสบุ๊ค (Facebook) บริหารงานโดยบริษัท เอ็มเน็ต โซลูชั่น จำกัด มีจุดมุ่งหมายในการมุ่งมั่นพัฒนา ให้บริการข้อมูล ข่าวสาร สาระความรู้ ไม่เพียงแต่เฉพาะมุสลิมเท่านั้น แต่รวมถึงคนต่างศาสนาอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจในข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวทั้งในและต่างประเทศ เว็บไซต์มุสลิมไทยโพสต์มีความพยายามให้เป็นสำนักข่าวมุสลิมไทยที่เป็นผู้นำอันดับหนึ่งบนโลกออนไลน์สำหรับมุสลิม [1]

ยาตีมทีวี (Yateem TV)

ในขณะที่ ยาตีมทีวี (Yateem TV) เป็นอีกหนึ่งในสำนักสื่อที่มีบทบาทเป็นตัวแทนของสังคมมุสลิมในไทยสำหรับการดูแลกลุ่มมุสลิมที่ยากไร้มาโดยตลอด มีการจัดกิจกกรมระดมทุนเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า และสนับสนุนการศึกษาในสถานที่ต่าง ๆทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ยาตีมทีวี ก็ยังต้องพึ่งพารายได้จากเงินบริจาคเป็นส่วนใหญ่ โดยมีทั้งในรูปแบบของการออม การจำหน่ายสินค้า และการจัดงานมหกรรม อาทิ ฮาลาลแฟร์ (มหกรรมอาหารฮาลาล) เพื่อนำรายได้มาพัฒนาองค์กร และสนับสนับสนุนเด็กกำพร้าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ไวท์แชนแนล (White Channel)

ไวท์แชนแนล (White Channel) ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างแห่งความสำเร็จในฐานะสื่อมุสลิมไทยที่เริ่มต้นจากเงินบริจาคจำนวน 300,000 บาทจากกลุ่มผู้ฟังวิทยุ AM. ในรายการอิสลามอินไทยแลนด์ ซึ่งเป็น “ทุนต้น” ของสถานี ไม่ใช่ทุนสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ใช่เงินสนับสนุนจากอาหรับ หรือเงินทุนจากกลุ่มทุนใด ๆ นับได้ว่าไวท์แชนแนลกำเนิดจากความคาดหวังของสังคมมุสลิม พันธกิจหลักของไวท์แชนแนลคือการสร้างสายสัมพันธ์กับกลุ่มมุสลิมทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ศึกษาหลักการของศาสนา ไวท์แชนแนล เริ่มออกอากาศวันแรกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2555[2]

การเติบโตของสื่อมุสลิมไทย

การเติบโตของสื่อมุสลิมไทย ทำให้ชาวไทยมุสลิมส่วนใหญ่ลงทุนซื้อจานดาวเทียม (จานดำ) เพื่อรับชมทั้งสถานีวิทยุและโทรทัศน์ (ฟรีทีวี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงวัยจะเปิดทีวีไว้ตลอดทั้งวัน เพื่อรับฟังคำสอนของศาสนา ในขณะที่คนรุ่นใหม่ติดตามทางสื่อออนไลน์มากกว่า และมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นทั้งในแง่ของการสนับสนุนและไม่เห็นพ้องกับข้อมูลที่นำเสนอ จนบางครั้งนำมาภาพลักษณ์ของสื่อที่นำความแตกแยกไปสู่สังคมตามมา แม้ว่าสำนักข่าวจะมีการนำเสนอข่าวในอีกหลายช่องทางทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ด้วยภายใต้กรอบการส่งเสริมความเข้าใจในศาสนาอิสลามและการเผยแผ่ศาสนาก็ตาม

ในโลกแห่งการสื่อสารที่รวดเร็วก็อาจมาพร้อมกับภัยเงียบที่แอบแฝงมากับความอคติ และการนำเสนอที่สุ่มเสียงต่อความขัดแย้งในกลุ่มมุสลิมกันเอง ทั้งนี้เกิดขึ้นจากสภาวะการแย่งชิงกันป็นผู้นำในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และลักษณะการอธิบายหลักการของศาสนาบนพื้นฐานของความแตกต่างของสำนักคิด (School of thought) จนเกิดกระแสทั้งในแง่การสนับสนุนและกระแสการต่อต้าน และนำมาสู่ความแตกแยกระหว่างของสังคมมุสลิมในไทยตามมา

เมื่อสื่อมุสลิมในไทยมีอิทธิพลกับกลุ่มคนที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการวิพากษ์วิจารณ์ การนำเสนอของแต่ละสำนักข่าว การนำเสนอข่าวสารที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดความขัดแย้งแล้วนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่สำนักข่าวแต่ละแห่งต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพื่อระงับความแตกแยกระหว่างมุสลิมในสังคมไทย หรือหน่วยงานกลางอย่างเช่น สำนักจุฬาราชมนตรี อาจต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำชับ ควบคุม ดูแล และตรวจสอบความถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ความรุนแรง และการนำเสนอแบบสุดโต่งตามมา

References

[1] http://www.muslimthaipost.com/main140358/content.php?page=content&category=109&id=9131

[2] https://whitechannel.tv/

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *