
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์
คณะนิเทศศาสตร์ และ สถาบันเอเชียศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ข้าพเจ้าเชื่ออย่างยิ่งว่า อิสลามนั้นประกอบด้วย อามัล ยากีน และ โมฮาบัต”[1]

ด้วยอุดมการณ์แห่งอหิงสา
ฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่านได้รับการขนานนามว่า “คานธีแห่งจังหวัดพรมแดน” จากความสนิทสนมรักใคร่และแนวทางของการต่อสู้ด้วยอหิงสาที่ท่านมีร่วมกับมหาตมาคานธี โดยทั่วไปแล้วเมื่อนึกถึงการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชของอินเดีย พวกเราโดยส่วนใหญ่ก็จะมองข้ามบุรุษร่างใหญ่ที่มักจะยืนเคียงข้างท่านมหาตมาผู้นี้ มิตรภาพระหว่างมหาบุรุษทั้งสองนั้นเป็นตัวอย่างของความรักและมิตรภาพที่ก้าวข้ามความแตกต่างในทุกมิติ ฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่านเป็นชายร่างใหญ่และพูดจาเสียงดังโผงผาง ในขณะที่ท่านมหาตมาเป็นชายร่างเล็กที่ขี้อายและมีน้ำเสียงนิ่มนวล รวมถึงการที่ฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่านเป็นมุสลิมปาทานและด้านมหาตมาเองก็เป็นฮินดูที่เคร่งครัด แต่สิ่งที่โยงใยบุรุษทั้งสองไว้ด้วยกันก็คือความรักในสัจจะและอุดมการณ์ที่จะสร้างสังคมอันสันติและยุติธรรมที่พวกเขามีร่วมกัน
ฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่าน และ มหาตมาคานธี

แม้จะเกิดมาในครอบครัวชนชั้นสูงของชาวปัชตุนในเมืองเปศวาร์ ฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่านก็มีสำนึกเกี่ยวกับความยุติธรรมและความเท่าเทียมมาแต่เยาว์วัย เขาคบค้าสมาคมกับกลุ่มคนที่ถือกันว่าเป็นชนชั้นต่ำอย่างเปิดเผยและไม่ถือตัว อีกทั้งพยายามบอกกล่าวคนอื่นๆ ให้ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเท่าเทียมแม้จะต่างศาสนาหรือต่างชั้นวรรณะ ฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่านใฝ่ฝันถึงการช่วยยกระดับทางสังคมและเศรษฐกิจให้เพื่อนร่วมเชื้อชาติชาวปัชตุนที่ถูกกดขี่ข่มเหง อีกทั้งยังถูกทำให้เชื่อในข้อจำกัดของตนผ่านการปกครองแบบอาณานิคมมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์มุฆัลจนกระทั่งมาถึงสมัยของอังกฤษ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขาต้องการที่จะปลดเปลื้องชาวปัชตุนออกจากพันธนาการของศาสนาอิสลามตามการตีความของมุลเลาะห์ท้องถิ่น ที่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นเจ้าที่ดินและขุนศึก ด้วยเหตุนี้เองที่เขาจึงได้ตัดสินใจเดินทางไปศึกษาในมหาวิทยาลัยมุสลิมแห่งอลีครห์ (Aligarh Muslim University)
ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาจากอลีครห์ ฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่านก็กลับไปเปิดโรงเรียนที่เปิดสอนทั้งสายศาสนาและสายสามัญให้แก่ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายในแถบบ้านเกิด โดยเชื่อว่าการรู้หนังสือทั้งทางโลกและทางธรรมจะสามารถช่วยยกระดับทางสังคมและทางเศรษฐกิจให้แก่ชาวปัชตุนและมุสลิมได้ แนวทางการศึกษาของฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่านประสบความสำเร็จอย่างมากและได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวางจากนักปฏิรูปสังคมมุสลิมทั่วอาณานิคมอินเดียของอังกฤษ เชื่อกันว่าในระหว่างปีค.ศ. 1915 ถึง ค.ศ. 1918 เขาได้เดินทางไปช่วยก่อตั้งโรงเรียนในกว่าห้าร้อยหมู่บ้านในเขตจังหวัดพรมแดนตะวันออกเฉียงเหนือ (ปัจจุบัน – จังหวัดไคเบอร์ปัคตูนควา) อันเป็นที่มาของการที่เขาได้รับขนานนามจากผู้คนในแถบนั้นว่า บาดชาห์ฃ่าน หรือ ราชาแห่งฃ่าน
จุดเด่นประการหนึ่งของการศึกษาตามแนวทางของบาดชาห์ฃ่านนั้นคือให้ความสำคัญกับการยกสถานภาพของผู้หญิง นอกเหนือจากการจัดการศึกษาให้กับสตรีชาวปัชตุนแล้ว เขาก็ยังสนับสนุนให้ผู้ชายชาวปัชตุนปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างเท่าเทียม ตามประเพณีปฏิบัตินั้นผู้หญิงปัชตุนถือว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง พวกเธอจะมีหน้าที่หาอาหารและคอยดูแลปรนนิบัติจนกว่าผู้ชายจะรับประทานอาหารเสร็จ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะไม่มีอาหารเหลือถึงพวกเธอ บาดชาห์ฃ่านจึงเริ่มต้นปฏิรูปวัตรปฏิบัติในครัวเรือนของตัวเขาเองให้เป็นแบบอย่าง โดยให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายในบ้านนั่งลงรับประทานอาหารพร้อมกัน

ผู้รับใช้แห่งพระเป็นเจ้า
ในปี ค.ศ. 1928 บาดชาห์ฃ่านและมหาตมาคานทีได้มีโอกาสพบหน้ากันเป็นครั้งแรก บุรุษทั้งสองรู้สึกชอบพอกันและกันขึ้นมาในทันที จากนั้นเป็นต้นมาบาดชาห์ฃ่านก็ได้กลายมาเป็นผู้ช่วยข้างกายคนสำคัญของมหาตมา และก็ยังเป็นผู้ที่นำแนวคิดอหิงสาและสัตยาเคราะห์ไปเผยแพร่ในหมู่มุสลิม
ฃ่าน อับดุล ฆอฟฟัร ฃ่านกล่าวย้ำอยู่เสมอว่า อหิงสานั้นคือแนวทางของอิสลามตามที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์และยังเป็นอาวุธสำคัญที่นบีใช้ใน “ญีฮาด” หรือ สงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อครั้งพิชิตนครมักกะฮฺ
จากการที่ได้พบปะกับมหาตมา อุดมการณ์เพื่อปฏิรูปสังคมของบาดชาห์ฃ่านจึงได้ขยายกว้างไปไกลกว่าชุมชนปัชตุนของตนเอง ในการที่จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวปัชตุนได้นั้นจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปสังคมในอนุทวีปทั้งระบบ ด้วยการปลดแอกอนุทวีปออกจากอำนาจของเจ้าอาณานิคม และสร้างชาติอินเดียอันเป็นเอกราชและไม่แบ่งแยกบนพื้นฐานของแนวคิดฆราวาสนิยม ขบวนการฆุไดฆิดมัตการ์ (خداۍ خدمتګار ) หรือ ผู้รับใช้แห่งพระเป็นเจ้า จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อนำแนวคิดอหิงสาและสัตยาเคราะห์ของมหาตมาคานทีไปใช้เพื่อการเคลื่อนไหวต่อต้านการปกครองของอังกฤษในจังหวัดพรมแดนตะวันตกเฉียงเหนือ
ขบวนการฆุไดฆิดมัตการ์นั้นมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “ขบวนการเสื้อแดง” ที่มาจากสีของเสื้อที่สมาชิกสวมใส่ มีเรื่องเล่าว่า แต่เดิมนั้นนักปฏิรูปสังคมที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการก็สวมเสื้อสีขาวตามแบบขบวนการสัตยาเคราะห์ทั่วอินเดีย แต่ด้วยสภาพดินฝุ่นที่แห้งแล้งของช่องเขาไคเบอร์ก็ทำให้เสื้อสีขาวต้องสกปรกในเวลาไม่นาน สมาชิกจำนวนหนึ่งจึงนำเสื้อไปย้อมให้เป็นสีอิฐซึ่งก็ได้กลายมาเป็นเครื่องแบบของกลุ่มในที่สุด การทำงานของขบวนการฆุไดฆิดมัตการ์เน้นไปในเรื่องการศึกษา การสร้างความเท่าเทียม และ การเผยแพร่แนวคิดการไม่ใช้ความรุนแรงในบริบทของศาสนาอิสลาม นอกจากนี้แล้วอุดมการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของกลุ่มก็คือการเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของชุมชนฮินดูและชุมชนมุสลิม
“นบีมุฮัมหมัดกำเนิดขึ้นมาในโลกเพื่อสั่งสอนเราว่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมุสลิมนั้นคือบุคคลที่ไม่ประทุษร้ายผู้อื่นแม้ในทางวาจาหรือการกระทำ แต่จะทำงานเพื่อประโยชน์สุขของสรรพชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้าง ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าคือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ของพวกเรา”

วิถีแห่งความรักและการให้อภัย
“ข้าพเจ้าจะมอบอาวุธที่แม้แต่ตำรวจและกองทัพก็มิอาจต่อกรด้วยได้ให้แก่พวกท่าน มันคืออาวุธของนบีที่พวกท่านไม่เคยจะได้ตระหนักถึง อาวุธที่ว่านั้นก็คือขันติธรรมและคุณธรรม ไม่มีอำนาจใดในโลกนี้ที่จะสามารถทัดทานทั้งสองสิ่งนี้ได้”
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การพัฒนาความเชี่ยวชาญเอเชียใต้ศึกษา South Asian Experts”
ที่ได้รับทุนสนับสนุนโครงการจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
Footnotes :
[1] การทำงานเพื่อผู้อื่น, ศรัทธา และ ความรัก
References :
– Archiwal, Ahmadullah. (N.D.). The Frontier Gandhi, Abdul Ghafar Khan, Bacha Khan, as a Social Reformer. https://web.uri.edu/nonviolence/abdul-ghafar-khan-as-a-social-reformer/
– Khan, Abdul Ghaffar. (2021). The Frontier Gandhi: My Life and Struggle, Autobiography of Abdul Ghaffar Khan. Translated by Imtiaz Ahmad Sahibzada. New Delhi, Roli Books.
– Kurtz, Lester. (2009). The Khudai Khidmatgar Movement (1933-1937). New Hampshire: International Centre on Nonviolent Conflict. https://www.nonviolent-conflict.org/khudai-khidmatgar-servants-god-movement-badshah-khan-northwest-frontier-british-india-1933-1937/
– LeFeuvre, Georges. (2010). Afghanistan’s Future Lies in Its Past. Paris: Le Monde Diplomatique https://mondediplo.com/2010/10/04afghanistan#nb6
– Rauf, Abdul. (2006). Socio-Educational Reform Movements in N.W.F.P. – A Case Study of Anjuman-i-Islahul Afaghina in Pakistan Journal of History & Culture, Vol.XXVII/2. Islamabad: National Institute of Historical and Cultural Research. http://www.nihcr.edu.pk/Latest_English_Journal/Socio_educational_reforms_Abdul_Raur.pdf
– Taizi, Sher Zaman. (2002). Bacha Khan in Afghanistan. Aotearoa, NZ: Asian Reflection. https://asianreflection.com/khanafghanistan.html