คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการกระทำของชาวมุสลิมหรือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามที่มีต่อผู้นับถือศาสนาอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ก็มีแนวคิดสุดโต่งด้วยเช่นกัน ดังที่จะเห็นได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ชาวพุทธในประเทศศรีลังกาและเมียนมา กระทำต่อผู้ที่นับถือศาสนาอื่น โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม แม้กระทั่งในประเทศไทยเอง ก็มีการแสดงออกที่สะท้อนลัทธิสุดโต่งด้วย เพียงแต่การกระทำเหล่านั้น รับรู้กันในวงจำกัด
Politics
ขณะเรา “เคลื่อนวิถีโลก” และ “ผลักวิธีคิด” ของผู้คนไปสบตา “สันติภาพ” และความสวยงามของ “สันติวิธี” วันที่ 15 มีนาคม 2562 เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ “ถีบ” เรากลับไปจมดิ่งใต้วงล้อมของความรุนแรงอีกรอบ เมื่อกระบอกปืน “เปล่งเสียง” และ “เหนี่ยวไก” เร็วกว่า “งานสันติภาพ” ที่เรากำลังเข้าใกล้ ส่งผลให้ผู้คน 49 ชีวิตล้มตายและบาดเจ็บกว่า 40 คนด้วยการถูกกราดยิงในมัสยิดในวันศุกร์
รากฐานของความวุ่นวายของสังคมมุสลิมในปัจจุบัน มิได้เกิดจากตัวบทของศาสนา แต่เกิดจากผู้ใช้หลักการทางศาสนาครึ่งใบในการนำแนวคิดการต่อสู้ และใช้ความรุนแรงโดยอ้างศาสนามาเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เปลี่ยนแปลงอุดุมการณ์ จนสร้างกลุ่มก้อนของแนวคิดสุดโต่งในสังคม เพื่อเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนนำมาสู่การใช้ความรุนแรงตอบโต้กัน
เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา ภาพของกลุ่มพระภิกษุในเมียนมาออกมาร่วมประท้วงร่วมกับชาวพุทธเพื่อเรียกร้องและผลักดันให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาออกนอกประเทศ การก่อการจราจลและการใช้ความรุนแรงของชาวพุทธในเมียนมาต่อชาวมุสลิมในเมียนมา ทำให้มีการตั้งคำถามถึงแนวคิดของพุทธศาสนา ที่เน้นเรื่องความไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายผู้อื่น แต่เหตุใดพระภิกษุสงฆ์ถึงมาร่วมในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ด้วย
โดย จตุพร สุวรรณสุขุม นักวิจัยประจำศูนย์เอเชียใต้ศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่ครั้งแรกที่ MAPPING EXTREMISM IN SOUTH ASIA วันที่ 4 มีนาคม 2562 https://xstremarea.home.blog/2019/03/04/0403/ เมื่อพูดถึงกลุ่มสุดโต่งซิกข์คนไทยอาจคิดไม่ออกว่าลักษณะเป็นอย่างไร เนื่องจากในประเทศไทยกลุ่มชาวซิกข์ที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามานั้นมีความกลมกลืนกับวัฒนธรรม ประเพณีของไทย และสามารถอยู่ร่วมกันกับผู้ตนท้องถิ่นได้อย่างไม่มีปัญหา แต่หากเราศึกษาปัญหาความรุนแรงที่กลุ่มสุดโต่งซิกข์เคลื่อนไหวในแถบเอเชียใต้ ต้นกำเนิดของความรุนแรงนั้นก็เป็นปัจจัยที่เราสามารถเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นภูมิคุ้มกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต Khalistan Movement Khalistan Movement คือกลุ่มสุดโต่งที่มีความต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อก่อตั้งประเทศ Khalistan มีความหมายว่าดินแดนอันบริสุทธิ์ บริเวณภูมิภาคปัญจาบ (ทั้งในส่วนของอินเดียและปากีสถาน) เพื่อต้องการสร้างความเป็นเอกเทศภายใต้ดินแดนที่เป็นเชื้อสายชาวปัญจาบทั้งที่อยู่ในอินเดียและปากีสถาน นอกจากนี้ยังรวมถึงส่วนอื่นๆในประเทศอินเดียเช่น ฮายาน่า หิมาจัลประเทศ ราชาสถาน จามูและแคชเมียร์ ภายหลังการได้รับเอกราชของอินเดีย การเคลื่อนไหวจะเกิดภายใต้รูปแบบการทำงานของพรรคการเมือง Akali Dal โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือแบ่งแยกเป็นรัฐอิสระ Khalistan หรืออย่างน้อยที่สุดต้องได้สถานะเป็นรัฐอิสระภายใต้รัฐบาลอินเดีย จากสถานการณ์การแบ่งประเทศที่ทำให้เกิดการจราจล การนองเลือด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปมเรื่องความเชื่อทางศาสนา ทางพรรคจึงใช้ประเด็นนี้ในการเรียกร้องซึ่งถูกปฏิเสธจากทางรัฐบาลอินเดีย […]
สาเหตุของความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถาน จนนำไปสู่การตอบโต้ทางทหาร และอาจเป็นประเด็นที่จะเป็นฉนวนสงคราม คือ ปฏิบัติการของกลุ่มก่อการร้าย Jaish-e-Mohammad, JeM (ทหารของศาสดามูฮำหมัด) ซึ่งได้ก่อการร้ายในเมือง Pulwawa ในแคว้นแคชเมียร์ของอินเดียในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็นความรุนแรงในรอบหลายสิบปีที่ประสบต่อคนที่สำคัญด้านความมั่นคงของอินเดีย
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2562 อิมราน ข่าน (Imran Khan) นายกรัฐมนตรีของปากีสถานออกเดินทางไปยังกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เพื่อเข้าพบประธานาธิบดีของอิหร่าน ดร. ฮัสซัน โรฮานี (Dr. Hassan Rouhani) แม้เหตุผลการเดินทางในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักในฐานะคนกลางในการไกล่เกลี่ยปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและซาอุดิอาราเบีย แต่ประเด็นหลักที่สำหรับอิมราน ข่าน คือ “ปัญหาแคชเมียร์” ทำให้การพบปะระหว่างอิมราน ข่านและโรฮานีครั้งนี้ “ประเด็นแคชเมียร์” จึงเป็นหัวข้อการแลกเปลี่ยนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
รอยบาดแผลแห่งอดีตหลังการแยกประเทศตั้งแต่ปี 1947 ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ความรุนแรงก็ยัง “ลืมตาและขับเคลื่อน” เด่นชัดกว่าภาพ “รอยยิ้ม” ผ่านเส้นพรหมแดนอินเดีย-ปากีสถาน หนำซ้ำปมแห่งอดีตได้ลามเลียสังคมอนุทวีปและกระชากความสัมพันธ์อันดีของผู้คนได้อย่างน่าใจหาย และบ่อยครั้งที่เราเสพข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องราวของความขัดแย้ง ความรุนแรง ระเบิดและการฆ่าฟันจากพื้นที่แห่งนี้ แต่ยังคงมีความพยายามของภาคประชาสังคมในพื้นที่ที่มุ่งสร้างความปรองดองมาโดยตลอด เพราะคนเหล่านี้ต่างรู้ดีว่า “เส้นพรหมแดนที่มาแบ่ง” เป็นเพียง “เขตแดนแห่งความต่างและความเชื่อ”
ในการสร้างสันติภาพบนพื้นที่รอยต่อระหว่างเส้นพรมแดนอินเดีย-ปากีสถาน นอกเหนือไปจากการทำงานของ Routes 2 Roots (R2R) แล้วยังมีการทำงานเพื่อสร้างความปรองดองของภาคประชาสังคมที่มีบทบาทสำคัญอีกหลายกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการนำสันติภาพมาสู่พรมแดนอินเดีย-ปากีสถานแห่งนี้
รามราช ยาตรา (Ram Rath Yatra) ปี ค.ศ. 1990 ถือเป็นเหตุการณ์การแสวงบุญที่มีการจลาจล การนองเลือด และคราบน้ำตา ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ในอินเดีย จากการเอาชาตินิยมของศาสนามาเป็นเครื่องต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง ปรากฎการณ์ดังกล่าวเผยให้เห็นถึงแนวคิดฮินดูสุดโต่งในสังคมอินเดีย ประวัติศาสตร์ความทรงจำอันเลวร้ายครั้งดังกล่าวยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาจนถึงปัจจุบัน