
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์
คณะนิเทศศาสตร์ และ ศูนย์เอเชียใต้ศึกษา
สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เผยแพร่ครั้งแรกที่ Facebook Pages: กระแสอินเดีย เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563
https://www.facebook.com/KrasaeIndia/photos/a.105349947805888/108594534148096/?type=3&theater
อะไรที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมากกว่ากัน เชื้อโรคร้ายหรือคำพูดและข่าวสารที่ให้โทษมากกว่าคุณ?
ตำนานและปกรณัมของอินเดียหลายเรื่องชี้ให้เราเห็นว่า การเสพคำพูดและข่าวสารอย่างไร้สตินั้นสามารถนำไปสู่โศกนาฏกรรมและหายนะได้
หากทศกัณฐ์ไม่หลงเชื่อนางสำมนักขาเสียแต่แรก ก็คงไม่เกิดศึกแย่งตัวนางสีดาจนต้องสิ้นกรุงลงกา
หากสุลต่านอัลลุดดีน คาลจี แห่งเดลีไม่คล้อยตามคำของนกแขกเต้าที่สรรเสริญความงามของพระนางปัทมวดี ก็คงไม่เกิดสงครามและโศกนาฏกรรมที่นำความอัปยศอดสู
มาสู่ตัวพระองค์เอง
ข้อมูลและข่าวสารถ้ามันอยู่เฉยๆ ก็อาจจะมีความเป็นกลาง แต่ในการนำเสนอข่าวสารนั้นก็มักจะมีความคิด มุมมองและวัตถุประสงค์ของคนที่นำข่าวสารมาเล่ากล่าว
ติดมากับข้อมูลด้วยเสมอ
นางสำมนักขาไม่ได้พูดถึงความงามของนางสีดาเฉยๆ แต่พูดขึ้นเพื่อลวงให้ทศกัณฐ์ออกไปแก้แค้นแทนตน
ข่าวสารที่เรารับมามันเป็นเครื่องมือที่ตีกรอบชี้นำให้เราคิดและรู้สึกไปตามทางที่คนที่นำมาบอกเล่าต่อต้องการ
อินเดียเป็น #ประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประชาชนในอินเดียมีเสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็นไม่แพ้ประเทศประชาธิปไตยในโลกตะวันตก
สื่อของอินเดียจึงหลากหลายและมีเสรีภาพในการนำเสนอมาก
ดังนี้ ในการเสพสื่อในประเทศอินเดีย (จริงๆ ก็ทุกที่ในโลก) เราจึงต้องตั้งคำถามว่าสื่อนั้นเป็นของใคร มีกรอบความคิดแบบไหน และมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับใคร
หลายครั้งการรายงานข่าวเหตุการณ์เดียวกันโดยสื่อต่างหัว ต่างสำนักกันก็ทำให้เราเกิดสงสัยว่าตกลงเป็นเรื่องเดียวกันจริงๆ หรือเปล่า
ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมสื่อออนไลน์ขยายตัวอย่างมาก ไม่ใช่แค่ในอินเดียเท่านั้น เวปไซต์และสำนักข่าวออนไลน์ใหม่ๆ ที่อ้างตนว่าทำงานสื่อเกิดขึ้นมามากมายทั่วโลก
เราอาจจะต้องคำถามเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและที่มาของข้อมูลในสื่อเหล่านี้
บ่อยครั้งเราก็จะพบว่าเป็นการนำข้อมูลเพียงส่วนเดียวมาปะติดปะต่อและผลิตซ้ำเป็นทอดๆ อย่างนกแขกเต้า
ในโลกที่มีข่าวสารไหลเวียนอยู่จำนวนมาก การเสพข่าวนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องเปิดหู เปิดตาและเปิดใจให้กว้าง รับข่าวสารให้รอบด้านและจากทุกมุมมอง
มิเช่นนั้นก็จะเป็นเยี่ยงท้าวธฤตราษฎร์และพระนางคานธารีในมหาภารตะ (คนหนึ่งตาบอดแต่เกิดและอีกคนหนึ่งเลือกที่จะปิดตาของตนเอง)
ที่ต้องอาศัยดวงตาของผู้อื่นมองโลกอยู่เป็นนิจ
สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ดวงตาของสำนักข่าวที่เราหยิบยืมมามองนั้น มันมีอยู่เพียงไม่กี่คู่ในโลกนี้ มันมักจะมองเห็นแต่สิ่งเดิมๆ และทำให้เราเข้าใจโลกแบบเดิมๆ วนเวียนซ้ำไปอยู่นั่น
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การพัฒนาความเชี่ยวชาญเอเชียใต้ศึกษา South Asian Experts”
ที่ได้รับทุนสนับสนุนโครงการจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)