เมื่อพูดภาพยนตร์รักโรแมนติก หรือภาพยนตร์แนว “Coming of Age” ส่วนมากชวนให้นึกถึง ความรักของคนวัยหนุ่มสาวก่อนเสมอ ต่างจากวัยกลางคนที่เรื่องราวความรักดูเป็นเรื่องไกลตัว เป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างควรจะลงตัวและมั่นคงที่สุด แต่แท้จริงแล้ววัยผู้ใหญ่ก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน เฉกเช่นชีวิตของ‘ธารา’ และ ‘อัมมาร์’ ในภาพยนตร์เรื่อง Once Again
MovieReview
Umrika ภาพยนตร์รางวัล Audience Award จากเทศกาล Sundance ปีค.ศ. 2015 สะท้อนเรื่องราวเบื้องหลังแรงผลักดันของแรงงานอพยพชาวอินเดียที่ไปแสวงหาโอกาสในแผ่นดินอเมริกา ช่วงยุค 1970-1980 ผ่านมุมมองของชายหนุ่มในหมู่บ้านห่างไกล
สำรวจวัฒนธรรมอาหารของรัฐจัมมูและแคชเมียร์ อดีตเส้นทางสายไหมที่สำคัญ ผ่านสารคดีชุด Raja, Rasoi Aur Anya Kahaniyaan
“ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ” เมื่อความรักและชีวิตจริงทำให้เรื่องของความรักความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ยึดโยงอยู่กับความแตกต่างด้านสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม และเพศเสมอ รักอย่างเดียวจึงไม่เคยพอ
การชมภาพยนตร์สำหรับชาวอินเดีย หรือที่ถูกเรียกว่าเป็นภาพยนตร์ “มาซาลา” ไม่ใช่แค่สื่อบันเทิงเพื่อฆ่าเวลาเเท่านั้น แต่เป็นเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ปลอบประโลมจิตใจ และสิ่งหนึ่งที่สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของข้อสันนิษฐานนี้คือ วัฒนธรรมการเชิดชุบูชานักแสดงในอินเดียดุจดั่งเทพเจ้า
You Are What You Eat แม้จะเป็นประโยคสั้นๆ แต่ใจความกลับสามารถสะท้อนให้เห็นถึงภาพสังคมมนุษยชาติ การอพยพย้ายถิ่นอันเชื่อมโยงถึงกัน นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ต่างๆ ดังนั้น วัฒนธรรมการกินจึงไม่เพียงแต่สะท้อนตัวตนของคนในปัจจุบัน หากแต่ยังเป็นรากฐานที่เชื่อมโยงเราเข้ากับประวัติศาสตร์ของเราได้อย่างดี
เมื่อพูดถึง ‘ความเป็นแม่’ มักตามมาด้วยภาระหน้าที่ที่ถูกคาดหวัง ด้วยคุณสมบัติอันเพียบพร้อมทั้งการดูแลบ้านเรือนไปพร้อมกับทำงานนอกบ้าน ดังนั้น จริงหรือที่ว่าสังคมกำลังเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงได้มีชีวิตอิสระมากขึ้น หรือแท้จริงแล้วสังคมกำลังบีบให้ผู้หญิงทุกคนต้องเป็นองค์พระแม่ที่มีหลายกร ผู้สามารถกำกอบภาระหน้าที่มากมายไว้ในคนๆ เดียว
เรื่องสั้นของรพินทรนาถแม้จะเขียนเมื่อ 150 ปีก่อน แต่ยังคงสามารถเชื่อมผู้คนด้วยเรื่องเล่าผ่านมุมมองเชิงสังคม วัฒนธรรม และการเมือง โดยเฉพาะประเด็นของผู้หญิงภายใต้การกดทับของสังคมปิตาธิปไตย
นานเท่าไรแล้วที่ภาระหน้าที่การเป็นแม่ เมีย และลูกสาวที่ดีเป็นภาระหน้าที่ถูกโยนให้ผู้หญิง ราวกับบาปกำเนิดที่มีติดตัวมาอย่างใดอย่างนั้น ภาระที่ไม่อาจ ผลักทิ้ง ผัดผ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตภายใต้สังคมปิตาธิปไตยเต็มไปด้วยความคาดหวังที่มีต่อผู้หญิง ซึ่งเกี่ยวพันกับการรับรู้ตัวตนของพวกเธอทั้งสิ้น
เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก ทั้งบทบาทกับหน้าที่ในบ้านและนอกบ้านที่ต้องแบกรับ ผู้หญิงต้องเล่นเกมต่อรองอำนาจ ชิงไหวชิงพริบตลอดเวลา ทั้งกับผู้หญิงด้วยกันเอง และสังคมปิตาธิปไตย จะเป็นอย่างไรหากพวกเธอพร้อมใจกันลุกขึ้นมาปลดแอกตัวเอง เพื่อให้พวกเธอได้เบ่งบานในระหว่างทางอันขรุขระของชีวิตและความรักอีกครั้ง