
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์
คณะนิเทศศาสตร์ และ สถาบันเอเชียศึกษา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โตบา เตก ซิงห์ ของ ซะอาดัต ฮะซัน มันโต [1]
แปลโดย จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์
โตบา เตก ซิงห์ ของ ซะอาดัต ฮะซัน มันโตเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกๆ พูดถึงเหตุการณ์การแบ่งแยกอินเดียและปากีสถาน และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังอาจถือว่าเป็นงานเขียนที่ทรงพลังมากที่สุดชิ้นหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น โดยเมื่อครั้งที่บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ หรือ บีบีซี จัดทำรายชื่อเรื่องเล่า 100 เรื่องที่มีพลังเปลี่ยนแปลงโลก เรื่องสั้นของมันโตเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งในรายชื่อนั้นด้วย
เรื่องสั้นเรื่องนี้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์การแบ่งแยกอินเดียและปากีสถานโดยใช้ฉากในโรงพยาบาลบ้า อาจกล่าวได้ว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นทั้งการเปรียบเปรยและเสียดสีของโศกนาฏกรรมแห่งความวิปลาสครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ในสายตาของมันโต ทั้งการแบ่งแยกดินแดนเมื่อปี ค.ศ. 1947 ลัทธิคลั่งชาติ การเมืองและศาสนาคือกิจกรรมของคนบ้า
โตบา เตก ซิงห์เป็นชื่อเมืองบ้านเกิดของตัวละครหลักในเรื่อง ตามท้องเรื่องสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นแผ่นดินที่สาบสูญเหมือนกับฮินดูสถานหรืออินเดียที่มันโตเคยรู้จัก เหตุการณ์การแบ่งแยกประเทศอินเดียและปากีสถานเมื่อปี ค.ศ. 1947 ทำให้ผู้คนจำนวนนับล้านต้องพลัดพรากจากบ้านเกิด กลายเป็นคนผลัดถิ่นในแผ่นดินและสังคมใหม่ที่ตนไม่รู้จัก เช่นเดียวกันกับที่ผู้นับถือศาสนาฮินดูในปากีสถานก็ต้องอพยพเข้ามาในเขตแดนของอินเดีย คนที่นับถือศาสนาอิสลามจำนวนมากที่เคยอาศัยอยู่ในเขตแดนของอินเดียต้องอพยพไปอยู่ในเขตแดนของปากีสถาน กลายเป็น มูฮาจิรฺ หรือ มุสลิมอพยพ
นอกจากนี้แล้วผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์อย่างพิชาน ซิงห์ ตัวละครเอกของเรา การแบ่งแยกปัญจาบได้ถอนรากถอนโคนชาวซิกข์นับล้านจากสังคม วัฒนธรรมและดินแดนที่อาศัยมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ สร้างบาดแผลทางประวัติศาสตร์และจิตใจที่เป็นรอยกรีดลึกจนยากที่จะเยียวยา
โตบา เตก ซิงห์ ของ ซะอาดัต ฮะซัน มันโต นำเสนอบาดแผลของเหตุการณ์การแบ่งแยกประเทศจากมุมมองของผู้เฝ้ามองความเป็นไปของโลก และจากมุมมองของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ในแง่หนึ่งนั้นโตบา เตก ซิงห์นำเสนอภาพของความบ้าที่เป็นผลของความไม่เป็นเหตุเป็นผลของโลก ระบบที่เน่าเฟะและยุ่งเหยิง ความอยากกระหาย หรือการสูญเสียตัวตนและความหมายในชีวิต ในอีกมุมนั้นมันก็อาจจะเป็นการต่อสู้กับความบ้าภายในจิตใจของมันโตเอง
โตบา เตก ซิงห์ คือผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา
ٹوبہ ٹیک سنگھ – โตบา เตก ซิงห์ – टोबा टेक सिंह
สองหรือสามปีหลังจากการแบ่งแยกดินแดน รัฐบาลปากีสถานและอินเดียได้ตกลงที่จะแลกเปลี่ยนตัวคนบ้ากันในทำนองเดียวกับที่ได้เคยแลกเปลี่ยนตัวนักโทษมาแล้ว พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ คนบ้ามุสลิมในโรงพยาบาลจิตเวชที่อินเดียจะถูกส่งตัวมายังปากีสถาน และคนบ้าชาวฮินดูและชาวซิกข์ในปากีสถานก็จะถูกส่งตัวให้กับอินเดีย
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าทางฝั่งโน้นเป็นอย่างไร แต่ที่ในละฮอร์นี่เรื่องนี้เป็นบทสนทนาที่เข้มข้นยิ่งในหมู่คนบ้า มีคนบ้ามุสลิมคนหนึ่งที่อ่านหนังสือพิมพ์ ซามินดาร์ [2] ทุกวันมาตลอดสิบสองปี วันหนึ่งเพื่อนของเขาถามขึ้นว่า “เมาลวี ซาฮีป [3] ! อะไรคือปากีสถาน? เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า “มันเป็นสถานที่ผลิตมีดโกนในอินเดีย”
ได้ยินคำตอบดังนั้น เพื่อนของเขาก็พอใจ
คนบ้าชาวซิกข์คนหนึ่งถามชาวซิกข์อีกคนหนึ่งว่า “สรทารจี [4] พวกนั้นจะส่งเราไปอินเดียทำไม? แม้แต่ภาษาเราก็พูดไม่ได้”
“ฉันรู้ภาษาอินเดียดี” อีกคนตอบพร้อมรอยยิ้ม “คนอินเดียเป็นคนร้ายกาจที่เดินแกว่งไปแกว่งมาอย่างยโส” เขาเสริม
วันหนึ่ง ขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่ คนบ้ามุสลิมคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมาอย่างสุดเสียงว่า “ปากีสถานจงเจริญ” กระทั่งเสียหลักลื่นล้มหัวฟาดพื้นสลบไป
คนบ้ามุสลิมร่างอ้วนจากเมืองจินิโอฏคนหนึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวที่แข็งขันของสันนิบาตมุสลิม เขามักจะอาบน้ำห้าหรือสิบครั้งต่อวัน เพียงชั่วข้ามคืนเขาก็ทิ้งกิจวัตรนั้นไป คนบ้าคนนี้มีชื่อว่าโมฮัมหมัด อาลี วันหนึ่งเขาประกาศตัวว่าเขาคือโมฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ทันทีที่ได้ยินก็มีคนบ้าชาวซิกข์อีกคนหนึ่งก็ประกาศตนว่าเป็นมาสเตอร์ ตารา ซิงห์ สถานการณ์อาจนำไปสู่การหลั่งเลือดแน่ หากทั้งสองคนไม่ได้ถูกจัดให้เป็นคนไข้อันตรายและถูกนำไปขังแยกกัน
มีคนบ้าชาวซิกข์คนหนึ่งที่อยู่ที่นี่มาสิบห้าปีแล้ว เขาพูดภาษาประหลาดของตัวเองและมักจะพูดประโยคที่จับความไม่ได้ซ้ำไปซ้ำมาว่า “อุปรี กูร กูร ดิ แอนเน็กซ ดิ เบธียานา ดิ มุง ดิ ดาล อ๊อฟ ลาลตีน” เขาไม่เคยนอนหลับ จากปากของผู้คุม เขาไม่เคยหลับแม้สักงีบมาตลอดสิบห้าปี แต่บางคราวเขาก็จะพักด้วยการยืนพิงกำแพง
เท้าทั้งสองและข้อเท้าของเขาบวมเต่งจากการยืนตลอดเวลา แต่กระนั้นเขาก็ปฏิเสธที่จะนอนพักราบกับพื้น เขาจะตั้งอกตั้งใจฟังทุกครั้งที่เรื่องอินเดีย ปากีสถานและการแลกตัวคนไข้ถูกหยิบยกขึ้นมาสนทนา ครั้นมีคนถามความเห็น เขาก็จะตอบอย่างจริงจังว่า “อุปรี กูร กูร ดิ แอนเน็กซ ดิ เบธียานา ดิ มุง ดิ ดาล อ๊อฟ ปากีสถาน กอร์นาเมนท์”
ต่อมาเขาก็แทนที่ “อ๊อฟ ดิ ปากีสถาน กอร์นาเมนท์” ด้วย “อ๊อฟ ดิ โตบา เตก ซิงห์ กอร์นาเมนท์” เขาเริ่มถามคนบ้าคนอื่นๆ ว่า โตบา เตก ซิงห์อยู่ที่ไหน เป็นเขตแดนของประเทศใด แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะอยู่ในปากีสถานหรืออินเดีย ยิ่งพวกเขาถกเถียงกันเท่าไรก็ยิ่งสับสนกันมากขึ้นยิ่งนัก เพราะอย่างเมืองสิยาลโกฏที่เคยอยู่ในอินเดียตอนนี้ก็มาอยู่ในปากีสถาน ใครจะไปรู้เล่าว่าพรุ่งนี้ละฮอร์ที่ตอนนี้อยู่ในปากีสถานก็อาจจะไปอยู่ในอินเดียได้? ไม่อีกทีอินเดียทั้งประเทศก็อาจจะกลายเป็นปากีสถาน? แล้วมีอะไรไหมที่จะยืนยันได้ว่าทั้งอินเดียและปากีสถานจะไปหายไปด้วยกันทั้งหมด
ผมของคนบ้าชาวซิกข์คนนี้ทั้งบางและจับตัวกันเป็นสังกะตังด้วยเขาไม่ค่อยจะได้สระผม ทั้งเส้นผมและเคราของเขาสานกันจนเป็นผืนเดียวกันทำให้รูปลักษณ์ของเขาน่ากลัว แต่เขาไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร โดยตลอดทั้งสิบห้าปีเที่เข้ามาอยู่ที่นี่เขาก็ไม่เคยได้มีเรื่องกับใคร
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรู้แต่เพียงว่าเขามีที่ทางในโตบา เตก ซิงห์ เขาเคยเป็นเจ้าที่ดินผู้ร่ำรวย แต่จู่ๆ ก็เกิดมีอาการวิกลจริตขึ้นมา ญาติพี่น้องของเขาจึงจับเขาตีตรวนและส่งมาอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้
ครอบครัวของเขามักจะมาเยี่ยมกันเดือนละครั้ง หลังจากที่แน่ใจว่าสุขภาพไม่เป็นอะไรก็จะพากันกลับไป เป็นอย่างนี้เรื่อยมาจนกระทั่งความขัดแย้งเรื่องอินเดียและปากีสถานปะทุขึ้นมา
คนบ้าคนนี้มีชื่อว่า พิชาน ซิงห์ แต่ใครๆ ก็มักจะเรียกเขาว่า โตบา เตก ซิงห์ แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีสำนึกเรื่องเวลา เขาก็จะจำได้เสมอว่าญาติของเขาจะมาเยี่ยมเมื่อไร เขาจะคอยเตือนเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเมื่อใกล้จะถึงเวลาเยี่ยมของเขา วันนั้นเขาจะอาบน้ำจนหมดจด หวีผมและใส่น้ำมัน จากนั้นก็จะสวมชุดที่ดีที่สุดและออกไปพบญาติๆ
ถ้าญาติของเขาถามอะไร เขาก็มักจะนิ่งเงียบหรือไม่ก็เอ่ยว่า “อุปรี กูร กูร ดิ แอนเน็กซ ดิ เบธียานา ดิ มุง ดิ ดาล อ๊อฟ ดิ ลาลตีน”
พิชาน ซิงห์มีลูกสาวอายุสิบห้าปีที่ทุกเดือนจะตัวสูงขึ้นหนึ่งข้อนิ้ว ทุกครั้งที่มาเขาจะจำเธอไม่ได้ ตอนยังเล็กๆ เธอมักจะร้องไห้เวลาที่เห็นพ่อของเธอ แม้โตแล้วเธอก็ยังร้องอยู่
เมื่อปัญหาเกี่ยวกับการแบ่งแยกประเทศปะทุขึ้น พิชาน ซิงห์ก็เริ่มถามเพื่อนคนไข้ด้วยกันเกี่ยวกับโตบา เตก ซิงห์ เมื่อไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ เขาก็ยิ่งทวีความกังวลขึ้นทุกวัน
จากนั้นญาติของเขาก็หยุดมาเยี่ยมเขา ก่อนหน้านี้เขาจะทำนายได้ว่าญาติจะมาเมื่อไร แต่มาตอนนี้มันราวกับว่าเสียงข้างในของเขาได้กลับกลายเป็นความเงียบงัน เขาอยากที่จะพยหน้าคนเหล่านั้น คนที่พูดกับเขาอย่างเข้าอกเข้าใจ เอาดอกไม้ ขนมและเสื้อผ้ามาให้ แน่นอนที่พวกนั้นจะบอกเขาได้ว่าโตบา เตก ซิงห์นั้นอยู่ในปากีสถานหรืออินเดีย ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาเชื่อว่ายังไงคนพวกนั้นต้องมาจากโตบา เตก ซิงห์ที่เขามีที่ทางอยู่
ในโรงพยาบาลจิตเวชยังมีคนบ้าอีกคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า วันหนึ่งพิชาน ซิงห์ถามคนบ้าคนนี้ว่าโตบา เตก ซิงห์อยู่ในปากีสถานหรืออินเดีย เขาหัวร่อออกมาเสียงดังแล้วตอบว่า “ไม่อยู่ที่ไหนทั้งนั้น ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ”
พิชาน ซิงห์วิงวอน “พระเจ้า” พระองค์นี้ให้ช่วยไขปัญหาสถานภาพของโตบา เตก ซิงห์และช่วยให้เขาหมดข้อสงสัย แต่ “พระเจ้า” ก็ยังวุ่นอยู่กับเรื่องอื่นจนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ วันหนึ่ง พิชาน ซิงห์ก็หมดความอดทนและระเบิดออกมาว่า “อุปรี กูร กูร แอนเน็กซ ดิ เบธิยานา ดิ มุง ดิ ดาล อ๊อฟ วาเฮ กูรู จี วา คาลซา แอนด์ วาเฮ กูรู จี กี ฟะตะฮฺ โช โบเลย์ โส นะฮาล สัต อะกาล”
ก่อนถึงวันกำหนดแลกตัวไม่กี่วัน เพื่อนชาวมุสลิมของพิชาน ซิงห์จากโตบา เตก ซิงห์ได้เดินทางมาเยี่ยม เพื่อนคนดังกล่าวไม่เคยมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลมาก่อน ทันทีที่เห็นเขา พิชาน ซิงห์ก็หันหลังกลับแล้วรีบเดินหนี แต่ผู้คุมหยุดเขาไว้ได้ทัน
“เขามาเยี่ยมนาย เขาเป็นเพื่อนของนายชื่อฟัซลุดดีน” ผู้คุมบอก
พิชาน ซิงห์เหลือบสายตาขึ้นมองฟัซลุดดีนแล้วบ่นพึมพำ ฟัซลุดดีนปรี่เข้าไปหาและเหนี่ยวข้อศอกเขาไว้ “ฉันตั้งใจมาเยี่ยมนายตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ว่างจนวันนี้” เขาเอ่ย “ญาติของนายอพยพไปอินเดียโดยปลอดภัยกันทั้งหมดแล้ว ฉันช่วยเท่าที่จะช่วยได้ ลูกสาวของนาย รูป กอร์….”
พิชาน ซิงห์ดูเหมือนจะจำอะไรขึ้นมาได้ “ลูกสาว รูป กอร์” เขาเอ่ยขึ้น
ฟัซลุดดีนลังเลไปชั่วครู่ ก่อนที่จะตอบว่า “ใช่ เธอ…เธอสบายดี เธออพยพไปพร้อมกับพวกนั้น”
พิชาน ซิงห์ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ฟัซลุดดีนจึงพูดต่อว่า “พวกเขาขอให้ฉันมาดูว่านายไม่เป็นอะไร ฉันได้ข่าวมาว่านายจะไปอินเดียแล้ว ฉันฝากสลามบัลบีร์ ซิงห์และวธาดา ซิงห์ แล้วก็อิมรัต กอร์ด้วย….บอกบัลบีร์ ซิงห์ว่าฉันสบายดี วัวสีน้ำตาลตัวหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ตกลูกออกมา อีกตัวก็ตกลูกเหมือนกันแต่คลอดออกมาหกวันก็ตาย แล้วถ้าพวกเขาต้องการให้ฉันช่วยอะไรอีกก็บอกมา ฉันเต็มใจ แล้วนี้ฉันเอามูร์มุรา จิกกี[6] มาเยี่ยมด้วย”
พิชาน ซิงห์เอากล่องมูร์มุรา จิกกียื่นให้กับผู้คุมแล้วถามว่า “โตบา เตก ซิงห์อยู่ที่ไหน?”
ฟัซลุดดีนชะงัก “โตบา เตก ซิงห์ อยู่ที่ไหนหรือ? ก็อยู่ที่เดิมที่มันเคยอยู่ไง” เขาตอบ
“ในปากีสถานหรืออินเดีย” พิชาน ซิงห์ถามย้ำ
ฟัซลุดดีนตอบอย่างอึกอัก “อยู่ในอินเดีย ไม่สิ ในปากีสถาน”
พิชาน ซิงห์เดินจากไปพร้อมบ่นพึมพำ “อุปาร์ ดิ กูร กูร ดิ แอนเน็กซ ดิ ธียานา ดิ มุง ดิ ดาล อ๊อฟ ดิ ปากีสถาน แอนด์ ฮินดูสถาน อ๊อฟ ดิ ดาร์ ฟะเตย์ มุน!”
ในที่สุดการเตรียมการสำหรับการแลกตัวผู้ป่วยก็สำเร็จลุล่วง รายชื่อคนบ้าที่จะถูกส่งตัวข้ามแดนของทั้งสองฝั่งได้มาถึงและวันที่จะมีการแลกตัวกันก็ได้ถูกกำหนดแล้ว
มันเป็นวันที่อากาศเย็นเยียบ คนบ้าชาวฮินดูและชาวซิกข์จากโรงพยาบาลจิตเวชละฮอร์ถูกต้อนขึ้นไปรถบรรทุกและออกเดินทางไปพร้อมตำรวจ ที่จุดข้ามแดนวาฆา เจ้าหน้าที่ฝ่ายปากีสถานและเจ้าหน้าที่ฝ่ายอินเดียพบกันเพื่อดำเนินการด้านเอกสาร จากนั้นการแลกเปลี่ยนตัวคนบ้าก็เริ่มต้นขึ้นและดำเนินต่อไปทั้งคืน
มันไม่ง่ายที่จะเอาตัวคนบ้าลงจากรถและส่งตัวข้ามพรมแดน บางคนไม่ยอมแม้แต่ที่จะลงจากรถ พวกที่เอาตัวลงมาได้แล้วก็ยากที่จะควบคุม พวกเขาก็จะเริ่มเดินไปโน่นมานี่ตามอำเภอใจ พอผู้คุมพยายามที่จะจับคนบ้าที่เปลือยกายใส่เสื้อผ้าพวกนั้นก็จะฉีกเสื้อที่โดนจับให้สวมออกจากตัว บางคนส่งเสียงสบถ บางคนก็ร้องเพลง บางคนก็ขัดขืน ต่างคนต่างส่งเสียงร้องระงมและแย่งกันพูดแต่ก็จับความไม่ได้ ด้านกลุ่มคนบ้าผู้หญิงก็สร้างความโกลาหลไม่แพ้กัน อากาศนั้นก็ชวนให้หนาวสั่นจนได้ยินเสียงฟันกระทบกัน
คนบ้าส่วนใหญ่นั้นไม่ยอมที่จะถูกส่งตัวข้ามแดน พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องทิ้งรากเหง้าไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก พวกที่กึ่งดีกึ่งบ้าบางคนเริ่มตะโกนว่า “ปากีสถานจงเจริญ” หรือไม่ก็ “ปากีสถานจงพินาศ” มีการวางหมัดกันสองสามครั้งระหว่างคนบ้าชาวซิกข์และคนบ้ามุสลิมเมื่อได้ยินคำขวัญดังกล่าว
ครั้นถึงคราวที่พิชาน ซิงห์จะต้องข้ามแดน เขาเอ่ยปากคุยกับเจ้าหน้าที่คอยกำกับ “โตบา เตก ซิงห์อยู่ที่ไหน?” เขาถาม “อยู่ในปากีสถานหรือในอินเดีย?”
เจ้าหน้าที่คนนั้นหัวเราะแล้วก็ตอบว่า “อยู่ในปากีสถานสิ”
เมื่อได้ยินดังนั้น พิชาน ซิงห์ก็รีบกระโจนกลับและวิ่งกลับไปในกลุ่มคนบ้าที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ผู้คุมชาวปากีสถานจับตัวเขาไว้และพยายามลากกลับไปยังจุดข้ามแดน แต่เขาก็ขัดขืนที่จะไป
“โตบา เตก ซิงห์อยู่ที่นี่” เขาร้อง จากนั้นก็ตะโกนจนสุดเสียง “อุปาร์ ดิ กูร กูร ดิ แอนเน็กซ ดิ เบธิยานา มุง ดิ ดาล อ๊อฟ ดิ โตบา เตก ซิงห์ แอนด์ ปากีสถาน”
พวกเจ้าหน้าที่พยายามกล่อมเขาว่า “นี่ไงโตบา เตก ซิงห์อยู่ในอินเดีย และถ้ามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น เดี๋ยวพวกเราก็จะมันส่งมันไปให้ถึงที่เอง” แต่พิชาน ซิงห์ก็ไม่ยอมเชื่อ พวกนั้นจึงพยายามช่วยกันลากตัวเขาข้ามจุดผ่านแดนแดน แต่เมื่อมาถึงจุดระหว่างกลางพรมแดนเขาก็หยุดอยู่ตรงนั้น ยืนนิ่งไม่ไหวติงบนเท้าทั้งสองข้างที่บวมเป่ง ราวกับว่าจะไม่มีอำนาจใดที่จะฉุดกระชากเขาจากที่ตรงนั้นได้
ด้วยเหตุที่เขาไม่มีพิษมีภัยอะไร พวกผู้คุมจึงปล่อยให้เขายืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็กลับไปทำงาน เขายืนนิ่งเงียบทั้งคืน ครั้นย่างเข้ารุ่งสางเขาก็กรีดเสียงร้องโหยหวนทะลุฟ้า พวกเจ้าหน้าที่กรูกันออกมาจากทุกสารทิศ หลังจากที่ยืนมาตลอดเวลาสิบห้าปี พิชาน ซิงห์กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนผืนดิน อินเดียนั้นอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของรั้วลวดหนาม ที่อยู่หลังรั้วอีกแนวหนึ่งคือปากีสถาน โตบา เตก ซิงห์นั้นอยู่ระหว่างกลาง ผืนดินที่ไร้นาม
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การพัฒนาความเชี่ยวชาญเอเชียใต้ศึกษา South Asian Experts”
ที่ได้รับทุนสนับสนุนโครงการจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
Footnotes :
[1] Saadat Hasan Manto (سعادت حسن منٹو )
[2] เจ้าที่ดิน หรือ เจ้าผู้ครองนคร
[3] เป็นสรรพนามเรียกให้เกียรติผู้ที่มีความรู้ในศาสนาอิสลาม
[4] सरदार (ออกเสียงว่า ซาร์ดาร์) สรรพนามจากภาษาเปอร์เชียใช้เรียกให้เกียรติประมาณ “นายท่าน”
[5] หรือ คออิด-อี-อัซซัม क़ायदे-आज़म (ฮินดี) قائداعظم (อูรฺดู)
[6] ขนมข้าวพองกวนกับน้ำตาลอ้อยคล้ายกระยาสารท
Photo credit :
Saadat Hasan Manto http://thewirehindi.com/image-sitemap-2.xml