โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ ฉัตราติชาต
ศูนย์เอเชียใต้ศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา และคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หลังจากใช้เวลา 3 ชั่วโมงในพิพิธภัณฑ์ ใจก็คิดแล้วว่า จะเล่าเรื่องนี้อย่างไรดีนะให้ผู้อ่านเห็นภาพไปพร้อมกับเรา เพราะเนื้อหา/ข้อมูลช่างมากมาย พอเราเริ่มเขียนร่างแรก เล่าเนื้อหาจากนิทรรศการแบบละเอียด แต่เขียนไปเขียนมากลายเป็นยาวมาก เพราะประวัติศาสตร์ของมอลโดวามีความซับซ้อนและซ้อนทับกับหลายประเทศ เดี๋ยวก็อยู่กับรัสเซีย แต่เอ๊ะเดี๋ยวก็กลายเป็นโซเวียต ไล่เรียงลำดับทางประวัติศาสตร์กันชุลมุนพอตัว (ถ้าสนใจอ่านประวัติศาสตร์ของประเทศโดยย่อ เราขอแนะนำที่เพจของกระทรวงการต่างประเทศ จะทำให้เข้าใจบริบทที่นี้ขึ้นนิดหน่อย) ว่าแล้วก็ตามมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ผ่านความทรงจำและความรู้สึกของเราพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
ก่อนเข้าชม เรามาทำความรู้จักเจ้าบ้านกันสักหน่อย…ข้อมูลจากเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติประวัติศาสตร์มอลโดวา ระบุไว้ว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 1983 เดิมนั้นใช้ชื่อว่า The State Museum of History of MSSR ที่มีมาตั้งแต่สมัยเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวีย (Moldavian Soviet Socialist Republic: MSSR) และเปลี่ยนมาใช้ชื่อในปัจจุบันตั้งแต่ปี 1991 หลังจากประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต ส่วนที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์นั้นเคยเป็นยิมเนเซียมสำหรับเด็กชายของเมือง Chișinău [1] มาก่อน
เมื่อจ่ายเงินค่าเข้าชมแล้ว เราก็จะเดินขึ้นไปชั้น 2 ของอาคาร ซึ่งเป็นส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวรในแนวคิด ‘ประวัติศาสตร์และอารยธรรม’ (History and Civilization) นำเสนอประวัติศาสตร์ของมอลโดวา ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จวบจนถึงปัจจุบัน
จากจักรวรรดิรัสเซียถึงจนเป็นมอลโดวา
สำหรับเรา เริ่มรู้สึกเชื่อมโยงช่วงประวัติศาสตร์ยุคศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากสงครามรัสเซีย-ตุรกี ทำให้พื้นที่ที่เรียกว่า Moldavia กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย (ยุคสมัยซาร์) สิ่งจัดแสดงในห้องนี้สะท้อนถึงความศิวิไลซ์ในยุคนั้นอย่างชัดเจน ทั้งหนังสือพิมพ์ ธนบัตรลวดลายสวยงาม เครื่องคิดเลข หนังสือเรียน รวมไปถึงวารสารของสมาคมนักวิทยาศาสตร์แห่งเบสซาเรเบีย (Berssarabia) นอกจากสิ่งจัดแสดงแล้ว พิพิธภัณฑ์ยังนำเสนอบุคคลสำคัญของยุคนั้น คือ Carol Schmidt นายกเทศมนตรีของคิชิเนา (1877 – 1903) เป็นช่วงแห่งการพัฒนาเมืองให้มีความทันสมัย ทั้งระบบน้ำประปาที่ดื่มได้ การสร้างโรงพยาบาลเด็ก ที่พักสำหรับคนไร้บ้าน โรงเรียนศิลปะ โรงเรียนมัธยมสำหรับผู้หญิง เป็นต้น วิธีการนำเสนอใช้เพียงแผ่นปลิว (Leaflet) ที่สรุปสาระสำคัญไว้อย่างกระชับ
ห้องถัดไป นำเราไปสู่ช่วงเวลาที่ประเทศได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติครั้งใหญ่ในรัสเซีย โดยเฉพาะด้านการศึกษา ศาสนา การปกครอง (รัฐบาล) และต่อเนื่องไปถึงเรื่องราวของสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ห้องนี้ยังเล่าถึงกลุ่มนางพยาบาลในช่วงสงคราม รวมทั้งบทบาทของหนังสือพิมพ์ Cuvânt moldovenesc ต่อขบวนการเคลื่อนไหวระดับชาติ จนนำไปสู่การประกาศอิสรภาพจากรัสเซีย บุคคลสำคัญที่ห้องนี้นำเสนอ คือ Alexandra Remenco (1897 – 1959) ผู้ที่เป็นทั้งครู ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของคิชิเนา ข้อมูลจากแผ่นปลิวที่จัดแสดง สรุปได้ว่าผลงานของเธอเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในโรมาเนียและต่างประเทศ แม้กระทั่ง Maria Montessori นักการศึกษาชื่อดังชาวอิตาลียังเคยมาเยี่ยมชมสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ และเสนอว่า Alexandra ควรจะได้ไปนำเสนอผลงานที่โรมเกี่ยวกับวิธีการสอนแบบหัวก้าวหน้าสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนของเธอ เรื่องราวของเธอยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าของประเทศในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
มอลโดวาใต้เงาสหภาพโซเวียต
การจัดแสดงนำเสนอเรื่องราวต่อเนื่องไปถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และภายหลังสงคราม มอลโดวาถูกครอบครองโดยสหภาพโซเวียต (USSR) อีกครั้ง ช่วงนี้แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายในยุคนั้น และความยากลำบากของพลเมืองโดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กที่ถูกส่งตัวไปในดินแดนห่างไกลเพื่อถางป่า ทำความสะอาดคูน้ำ หรือไปทำงานในฟาร์ม รวมถึงการรอแบ่งปันส่วนเมล็ดพันธุ์พืชจากรัฐบาล แต่โซนนี้ก็ยังจัดแสดงจดหมาย แผ่นปลิวและหนังสือที่ต่อต้านสหภาพโซเวียต ทำให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของคนในชาติที่แสดงออกต่อการถูกครอบครองโดยโซเวียต จากนั้นนิทรรศการก็นำผู้ชมเข้าสู่ช่วงความพยายามแยกตัวเป็นเอกราช ผู้ชมจะรับรู้เรื่องราวผ่านการจัดแสดงเอกสารประวัติศาสตร์ทั้งหนังสือพิมพ์ โปสเตอร์รณรงค์ ภาพถ่าย และธงชาติที่ลงนามโดยสมาชิกผู้แทนราษฎรที่โหวตสนับสนุนการประกาศเอกราช ในวันที่ 27 สิงหาคม 1991
บุคคลสำคัญกับมอลโดวายุคใหม่
เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์ร่วมกับพิพิธภัณฑ์
แต่เราเริ่มเห็นถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เข้าชมในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้ว ทั้งการใช้แอพพลิเคชัน ARTIVIVE เพื่อให้ผู้ชมได้ดูคลิปหรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งจัดแสดงเหมือนที่ National Museum of Ethnography and Natural History และ Interactive Book ที่นำเสนอวิวัฒนาการของตัวอักษรและการเขียนของมอลโดวา ซึ่งนิทรรศการระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Programului Muzeele Viitorului แปลคร่าวๆ คือ โครงการพิพิธภัณฑ์สำหรับอนาคต วันแรกที่ไป ไม่รู้ว่าเล่นอย่างไร เลยไม่ได้ทดลองเล่น ดังนั้น วันเสาร์สุดท้ายของเดือนที่พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าฟรี เราเลยแวะไปอีกรอบด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลักการทำงานของ Interactive Book เล่มนี้
ประวัติศาสตร์คือสะพานเชื่อมโลก
บทความนี้เป็นประสบการณ์จากการเดินทางในฐานะนักวิจัยแลกเปลี่ยน ภายใต้โครงการ Marie Curie Research and Innovation Staff Exchange scheme within the H2020 Programme (LABOUR Project)
[1] การออกเสียงชื่อเมือง มักจะออกเสียงว่า คิชิเนา (คิชินาว) แต่กระทรวงการต่างประเทศสะกดออกเสียงว่า คิชิเนฟ ผู้เขียนขอใช้การออกเสียงคิชิเนาตามที่ใช้กันทั่วไป