
โดย ดร.บัณฑิต อารอมัน
นักวิจัยประจำศูนย์เอเชียใต้ศึกษา
สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประเทศอัฟกานิสถานอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมาอย่างยาวนาน แต่สงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับกลุ่มติดอาวุธในอัฟกานิสถานที่ดำเนินมาอย่างยาวนานเกือบ 20 ปี กำลังจะยุติลง โดยนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินใจยุติสงครามในอัฟกานิสถานและสั่งถอนกองกำลังสหรัฐอเมริกาภายในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 นี้ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมที่เคยกำหนดไว้ในวันที่ 11 กันยายน 2564 ทำให้นักวิเคราะห์ทั้งไทยและต่างประเทศมองว่าปัจจัยในการตัดสินใจครั้งนี้มีหลายสาเหตุ ดังนี้
1) สหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการทำลายล้างกลุ่มอัลกออิดะห์และแกนนำทั้งหมด รวมถึงการสังหารนายอุสมะ บิน ลาเดน
2) สหรัฐอเมริกาสูญเสียงบประมาณและกองกำลังทหารเป็นจำนวนมากแล้ว
3) สหรัฐอเมริกาเชื่อมั่นว่ารัฐบาลอัฟกานิสถานสามารถจัดการปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศได้
4) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในสหรัฐอเมริกาทำให้รัฐบาลต้องทบทวนการแก้ไขปัญหาภายในประเทศเป็นสำคัญ
5) การเปลี่ยนผ่านของสงครามเย็นระลอกใหม่กำลังจะปะทุขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
นอกจากนี้ นายโจ ไบเดนได้เน้นย้ำว่ากองกำลังสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการกวาดล้างกลุ่มอัลกอิดะห์ทำให้กลุ่มก่อการร้ายอ่อนกำลังลงไปมาก และแม้ว่าจะเกิดกลุ่มก่อการร้ายหน้าใหม่ของสงครามในอัฟกานิสถานอย่าง กลุ่มตาลีบัน แต่สหรัฐอเมริกายังเชื่อมั่นว่ากองกำลังของรัฐบาลอัฟกานิสถานจะสามารถจัดการกับความขัดแย้งภายในประเทศได้ด้วยตนเอง โดยที่สหรัฐอเมริกายังคงยืนยันที่จะให้การสนับสนุนทั้งในด้านสิทธิมนุษยธรรม ด้านการฟื้นฟูประเทศ ตลอดจนยังคงวางกำลังรักษาความมั่นคงบริเวณโดยรอบสถานทูตสหรัฐอเมริกาและสนามบินกรุงคาบูลต่อไป
จุดเริ่มต้นของการทำสงครามในอัฟกานิสถาน มีผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 หรือเหตุการณ์ 9/11 ทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มใช้นโยบายการปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย โดยอ้างว่ากลุ่มอัลกออิดะห์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังจากเหตุการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการประกาศสงครามต่อกลุ่มอัลกกออิดะห์และกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ได้มีการส่งกองกำลังทหารสหรัฐอเมริกาเข้าไล่ล่าแกนนำกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์อย่างอุซามะห์ บิน ลาดิน ที่มีฐานที่มั่นในอัฟกานิสถาน นับแต่นั้นมากองทัพสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาปฏิบัติการทางทหารกับกลุ่มติดอาวุธในประเทศอัฟกานิสถานตั้งแต่ปีค.ศ. 2001 จนประเทศอัฟกานิสถานต้องตกอยู่ในสภาวะสงครามมาโดยตลอด เกิดความสูญเสียทั้งทรัพยากรบุคคล และทรัพยากรธรรมชาติ จนกลายเป็นหนึ่งในประเทศล้มเหลวที่ไร้อำนาจอธิปไตยในที่สุด
การตัดสินใจถอนทหารในครั้งนี้ มีการคาดการณ์จากกลุ่มนักวิชาการอย่างน้อย 2 รูปแบบ
แบบที่ 1 สถานการณ์อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างรัฐบาลอัฟกานิสถานและกลุ่มตาลีบัน
แบบที่ 2 หากว่าการเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลอัฟกานิสถานกับกลุ่มตาลีบันสำเร็จ จะส่งผลให้เกิดการฟื้นฟูประเทศอัฟกานิสถานบนแนวทางประชาธิปไตย

แต่ละฝ่ายยังคงแสวงหาแนวร่วมจากประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นเมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดนกล่าวว่า “อนาคตของอัฟกานิสถานขึ้นอยู่กับประชาชนชาวอัฟกานิสถาน” จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นอัฟกานิสถานกลับมาอยู่ในสภาพปกติสุข
บทสรุปของการทำสงครามที่ยืดเยื้อในอัฟกานิสถานกว่า 20 ปีมิได้แสดงให้เห็นถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น แต่กลับเห็นประเทศที่บอบช้ำมากกว่าเดิม ประชาชนที่ตกอยู่ท่ามกลางความรุนแรง ความหวาดกลัว และความแตกแยกที่ยังคงเกิดขึ้นได้เสมอ ในสายตาของนานาประเทศ อัฟกานิสถานยังคงเป็นสรภูมิรบของคนต่างชาติพันธุ์ ต่างความคิด และต่างอุดมการณ์ในการปกครองประเทศ
กลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถาน
พัฒนาการของกลุ่มตาลีบันมีประสบการณ์ในการสู้รบและมียุทธศาสตร์เพื่อปิดล้อมเส้นทางหลักของประเทศที่เชื่อมต่อไปยังประเทศอื่นๆ ทำให้กองกำลังฝ่ายรัฐบาลต้องพึ่งพาการช่วยเหลือทางอากาศจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น นับได้ว่าตลอดระยะเวลาของการต่อสู้กลุ่มตาลีบันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการปิดล้อม และยึดครองเมืองชนบทไปชนถึงเมืองใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า กลุ่มนักรบตาลีบันยังมีเครือข่ายในต่างประเทศกว่า 20 กลุ่มที่คอยสนับสนุนปฏิบัติการในอัฟกานิสถานอยู่ด้วย อาทิ ปากีสถานตาลีบัน รัชชาอีจาวี่ (Lashkar-e Jhangvi) รัชชาอีตัยบ่า (Lashkar-e Taiba) กองทัพแห่งโมฮัมเหม็ด (Jaish-e-Mohammed) และกลุ่มติดอาวุธเอเชียกลาง (Central Asian militant groups) เป็นต้น
แม้ว่ากลลวงของกลุ่มตาลีบันที่เคยยืนยันว่าจะไม่ให้กลุ่มใดๆ รวมถึงกลุ่มอัลกออิดะห์มาใช้ผืนแผ่นดินอัฟกานิสถานเป็นดินแดนในการต่อต้านทหารสหรัฐ กลับไม่ได้ทำให้สหรัฐอเมริกาวิตกกังวลใดๆ เลย เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเข้าใจดีว่าเครือข่ายกลุ่มอัลกออิดะห์และกลุ่มตาลีบันมีความใกล้ชิดและเกื้อหนุนกันอยู่แล้ว แต่ทั้งสองมีเป้าหมายแตกต่างกัน ดังนั้น การมุ่งเป้าทำลายล้างกลุ่มอัลกออิดะห์ก็เท่ากับว่าสร้างความอ่อนแอให้กับกลุ่มตาลีบันด้วย
ในช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นว่าการฝึกฝนกองกำลังทหารของรัฐบาลอัฟกานิสถานมาอย่างต่อเนื่องทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเชื่อมั่นว่าฝ่ายรัฐบาลอัฟกานิสถานภายใต้การนำของประธานาธิบดีอัชราฟ ฆานี จะสามารถคุมอำนาจการปกครองภายในประเทศได้
ที่สำคัญกลุ่มตาลีบันยังมุ่งเน้นในการใช้กรอบกฎหมายชารีอะห์ (กฎหมายอิสลาม) ในการปกครองประเทศจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามมองว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน รวมทั้ง สิทธิสตรี สิทธิการเข้าถึงการศึกษา และความเหลื่อมล้ำระหว่างชายหญิง ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนที่อยู่ในชุมชนเมืองและผู้ที่นิยมความสมัยใหม่ก้าวทันโลก ด้วยเหตุนี้ การแบ่งอำนาจการปกครองในช่วงเริ่มต้นหลังจากการถอนกองกำลังทหารของสหรัฐอเมริกาจึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายหยิบยกมาเป็นประเด็น
สอดคล้องกับแนวคิดของเวทีแห่งการเจรจาสันติภาพทั้งในประเทศกาตาร์และอิหร่านว่า “สงครามไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหาในอัฟกานิสถาน” ดังนั้น หากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตาลีบันไม่มีเงื่อนไขที่ซ่อนเร้นและไม่มีกลุ่มมหาอำนาจแทรกแซงก็อาจเป็นไปได้ว่าทิศทางอนาคตของอัฟกานิสถานจะอยู่บนพื้นฐานของการตัดสินใจของพลเมืองอย่างแท้จริง
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การพัฒนาความเชี่ยวชาญเอเชียใต้ศึกษา South Asian Experts”
ที่ได้รับทุนสนับสนุนโครงการจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
References
– https://www.aljazeera.com/news/2021/7/8/mission-accomplished-us-speeds-afghanistan-withdrawal
– https://www.rferl.org/a/taliban-government-islamic-state-who-controls-what-in-afghanistan-/30644646.html
– https://www.facebook.com/watch/live/?v=1466460923698978&ref=watch_permalink