50 ปีของการปฏิวัติ 25 เมษายน

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วราภรณ์ ฉัตราติชาต

ศูนย์เอเชียใต้ศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา และ

คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การเดินทางมาโปรตุเกสในปี 2024 นี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของประเทศโดยไม่รู้ตัว เรานั่งรถเดินทางไปรอบเมือง สังเกตเห็นถึงโปสเตอร์ต่าง ๆ มีภาพของเหตุการณ์ปฏิวัติ และข้อความ 25 เมษายน แล้วก็ปี 1974 ซึ่งเป็นปีที่สำคัญต่อเราเช่นกัน (แหะ ๆ) เราก็เริ่มตั้งข้อสังเกตในใจ และหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า…

ทุกวันที่ 25 เมษายน คือวันเสรีภาพ (Dia da Liberdade, Freedom Day) ของประเทศโปรตุเกส และเป็นวันหยุดประจำชาติอีกด้วย เพราะเมื่อ 50 ปีที่แล้ว (25 เมษายน 1974 หรือ พ.ศ. 2517) เป็นวันที่ทหารโดยคณะกองกำลังแห่งชาติ ทำการปฏิวัติล้มล้างระบอบเผด็จการของกลุ่มเอสตาโด โนโว (Estado Novo, New State, รัฐใหม่) ที่ปกครองประเทศมานานกว่า 40 ปี แต่ความสำเร็จของการปฏิวัติครั้งนี้เป็นผลจากการรณรงค์ต่อต้านของพลเมืองที่เกิดควบคู่กันไปด้วย การปฏิวัติครั้งนั้นทำให้โปรตุเกสเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะเกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย และสิ้นสุดสงครามอาณานิคมในแอฟริกาด้วย

การปฏิวัติครั้งนั้นแทบจะไม่เสียกระสุนเลย ทำให้ตอนที่ประชาชนออกมาเฉลิมฉลองความสำเร็จ ก็เลยเอาดอกคาร์เนชั่นเสียบเข้าที่ปากกระบอกปืนและเครื่องแบบทหาร จึงทำให้การปฏิวัติ 25 เมษายน เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า “การปฏิวัติคาร์เนชั่น” (Revolução dos Cravos, Carnation Revolution)

ในปีนี้ที่ลิสบอนจึงมีนิทรรศการชั่วคราวในธีม 25 เมษายนจำนวนมาก เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี บางที่อาจจะไม่ถึงกับจัดเป็นนิทรรศการชั่วคราว แต่ก็มีโซนจัดแสดงที่เชื่อมโยงเรื่องราวหรือนำสิ่งของมาจัดแสดงให้เข้ากับเหตุการณ์นี้ เช่น ที่ National Tile Museum มีจัดแสดงผลงานศิลปะในชื่อ Revolutionary Poetics หรือนิทรรศการ “25 de Abril Sempre! Fascimo Nunca Mais” ที่ Museu do Aljube Resistencia e Liberdade เป็นต้น

ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปชมนิทรรศการ 2 แห่งที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับขบวนการต่อต้านและเสรีภาพของโปรตุเกส โดยที่แรกจะพาไปคือ Museu do Aljube Resistência e Liberdade แค่อ่านชื่อภาษาโปรตุเกสก็คงพอเดาได้ใช่ไหมคะว่ามีคีย์เวิร์ด 2 คำที่โดดเด่นขึ้นมา ที่นี่คือ Aljube Museum Resistance and Freedom และอีกที่คือ Museu de Lisboa หรือ Museum of Lisbon ซึ่งจัดนิทรรศการชั่วคราวเรื่อง Lisbon in Revolution ค่ะ

Museu do Aljube Resistência e Liberdade

ครั้งแรกที่เราไปเจอที่นี่ เราถูกดึงดูดด้วยตัวอาคารที่เป็นสีขาว และมีประตูเหล็กแบบคุก เลยเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ถึงเห็นป้ายชื่อของพิพิธภัณฑ์ ว่าชื่อ “พิพิธภัณฑ์การต่อต้านและเสรีภาพอัลจูเบ” คำว่า Aljube เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า บ่อน้ำที่ไม่มีน้ำ หรือ คุก นั่นเอง …อาคารแห่งนี้เป็นถูกใช้เป็นคุกมาตั้งแต่สมัยโรมันและอิสลาม ในปี 1845 เคยเป็นคุกสำหรับผู้หญิง และในช่วงปี 1928 – 1965 เป็นคุกที่ขังนักโทษการเมือง พิพิธภัณฑ์นี้ สร้างขึ้นเพื่อยกย่องผู้เสียสละและระลึกถึงการต่อสู้ระบอบเผด็จการ และขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย …
ด้านหน้า Museu do Aljube Resistencia e Liberdade
ด้านหน้า Museu do Aljube Resistencia e Liberdade
เมื่อเราเดินเข้าไปในอาคารก็จะผงะกับกำแพงที่เต็มไปด้วยภาพถ่ายของผู้ที่ตกเป็นนักโทษการเมืองในช่วงปี 1928 – 1965 นอกจากนี้ ตามทางเดินและโถงบันได ก็จะมีคำพูด (Quote) ของผู้ที่เคยถูกขังที่นี่ เพื่อคอยเตือนเราถึงความโหดร้ายของการไร้ซึ่งเสรีภาพอีกด้วย
คำพูด (Quote) ของผู้ที่เคยถูกขังที่นี่ ตามโถงบันได
คำพูด (Quote) ของผู้ที่เคยถูกขังที่นี่ ตามโถงบันได

เข้าใจประวัติศาสตร์การเมืองแบบสรุปย่อ

เมื่อเราเดินขึ้นมาชั้น 1 จะเป็นการปูข้อมูลแบบสรุปให้เราได้เข้าใจถึงช่วงเวลาที่ประเทศถูกปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ผ่านทั้งภาพยนตร์สั้นและบอร์ดนิทรรศการที่มีทั้งภาพและข้อความ เป็นการสรุปเหตุการณ์สำคัญได้กระชับ แม้ว่าในห้องที่เป็นบอร์ดจะไม่มีคำอธิบายภาษาอังกฤษ แต่มี QR code ให้ดาว์นโหลดคำอธิบายภาษาอังกฤษ จริง ๆ แล้วเพียงแค่ภาพประกอบก็พอจะทำให้เราเข้าใจเรื่องราวหรือเหตุการณ์ได้ประมาณหนึ่ง
ชั้นนี้มีความทึม ๆ พื้นหลังใช้สีดำเป็นหลัก เนื้อหาเน้นให้เห็นถึงสภาพการณ์ของการไร้ซึ่งเสรีภาพในทุก ๆ ด้าน ทั้งสื่อและการใช้ชีวิตของพลเมือง และยังแสดงให้เห็นถึงขบวนการใต้ดินที่พยายามต่อต้านระบบเผด็จการด้วย จากนั้นก็พูดถึงเรื่องตำรวจการเมือง (Political Police) ซึ่งเป็นตำรวจชุดพิเศษในการจัดการกับนักโทษการเมือง การออกแบบโซนนี้ เหมือนเป็นสำนักงานตำรวจ มีเนื้อหาแน่น ๆ เล่าถึงวิธีการทำงานของตำรวจชุดนี้แบบเปิดเผย ด้วยหลักฐานเอกสารต่าง ๆ แถมยังแสดงหลักฐานทางศาล ที่ไต่สวนนักโทษการเมืองกลุ่มนี้ด้วย
ส่วนที่แสดงถึงการไร้ซึ่งเสรีภาพของประชาชนในประเทศ
ช่วงเวลาอันมืดดำของคุก Aljube
เดินต่อไปที่ชั้น 2 เป็นชั้นที่อุทิศให้กับช่วงเวลา 1926 – 1965 เล่าเนื้อหาประวัติศาสตร์กันแบบเน้น ๆ คือมาที่นี่ ยืนอ่านทุกบอร์ด รับรองว่าเรียนจบวิชาประวัติศาสตร์การเมืองโปรตุเกส 101 แน่นอน เราว่าดีเลยนะ ทำให้ผู้เข้าชมทุกคน ไม่ว่าจะช่วงวัยใด หรือสัญชาติใด ได้เข้าใจประวัติศาสตร์ยุคใหม่ที่สำคัญแบบนี้ … คือเนื้อหาแน่นแค่ไหน ก็ดูได้ว่า มีเก้าอี้วางตั้งไว้ให้นั่ง (คิดว่าให้นั่งนะ ไม่น่าจะมีสัญญะใด ๆ กับการจัดแสดงนะ)
ชั้น 2 เล่าประวัติศาสตร์ช่วง 1926 – 1965
จุดเด่นของเนื้อหาโซนนี้คือการเล่าถึงบทบาทและความพยายามของพลเมืองหลากหลายกลุ่มและอาชีพ ในขบวนการต่อต้านเผด็จการกลุ่ม Estado Novo (New State) และยังสื่อสารถึงสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้ถูกกระทำจากกลุ่มเผด็จการอีกด้วย
จากนั้นนิทรรศการก็เล่าถึงเรื่องราวภายในคุกแห่งนี้ ทั้งขั้นตอนเมื่อถูกนำมาขัง ภาพนักโทษที่ถูกขัง ชีวิตรักในคุก รวมไปถึงเด็ก ๆ ที่อยู่ในคุกกับแม่ที่ถูกจับกุม … ความโหดร้ายของคุกแห่งนี้ สื่อสารผ่านเรื่องราวและคำพูดของผู้ต้องขัง ที่นิทรรศการนำมาตีแผ่ให้ผู้ชมได้อ่านและจินตนาการตาม …แม้ว่าคนเหล่านี้จะถูกกักขังในคุก แต่ขบวนการต่อสู้ไม่หยุดไปด้วย… มีการจัดทำหนังสือพิมพ์ในคุกต่าง ๆ ที่กักขังนักโทษการเมืองที่ต่อต้านเผด็จการหรือลัทธิฟาสซิสต์ รวมไปถึงคุก Aljube นี้ด้วย
โซนจัดแสดงเกี่ยวกับตำรวจการเมือง
เนื้อหาบางส่วนที่แสดงถึงความพยายามของพลเมืองกลุ่มต่าง ๆ
โซนถัดมา จำลองเป็นโซนบ้านและคุก เมื่อเราเดินเข้าไป เราก็จะตกใจกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว …มันทำให้เรานึกได้ถึงบรรยากาศและความรู้สึกของคนที่อยู่ในบ้าน แล้วได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่อาจจะเป็นตำรวจการเมือง โทรมาเพื่อมาจับตัว หรือการได้รับข่าวร้ายของคนใกล้ตัวก็เป็นได้ …จุดนี้คือตกใจจริง มีทั้งเสียงโทรศัพท์ เสียงไซเรน แถมเดินถัดมาก็เป็นคุกแบบขังเดี่ยว … มีความสยอง ๆ เหมือนกัน … แต่ชื่นชมเลย กระตุกต่อมประสบการณ์ให้กับผู้ชมได้ยอดเยี่ยมหลังจากเดินชมอย่างเงียบ ๆ มาสักระยะหนึ่ง
เข้าสู่โซนเรื่องราวภายในคุกนักโทษการเมือง
เข้าสู่โซนเรื่องราวภายในคุกนักโทษการเมือง
สิ่งที่เราสังเกตได้ก็คือ ไม่มีการใช้ภาพหรือการจัดแสดงแบบเร้าอารมณ์ที่ทำให้เรารู้สึกหวาดกลัว แนวการจัดแสดงจะเป็นเชิง Informative หรือออกแนวงานข่าว/สารคดีเสียมากกว่า มันทำให้เราอ่าน คิด และตระหนักได้เองโดยไม่ต้องมีการชี้นำใด ๆ
เสรีภาพ: ก้าวสู่ยุคใหม่
เดินต่อขึ้นไปชั้น 3 เป็นการเล่าถึงเสรีภาพ ผ่าน 2 เหตุการณ์หลักคือการต่อต้านของอาณานิคมโปรตุเกสในแอฟริกา ที่เกิดเป็น Guerra Colonial (Colonial War สงครามอาณานิคม) ในช่วงปี 1961- 1974 ซึ่งหลังจากล้มระบอบเผด็จการได้แล้ว สงครามก็จบลงเช่นกัน สงครามนี้ก่อให้เกิดการสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งชีวิตและงบประมาณของประเทศ และการเป็นอิสระของประเทศในเครืออาณานิคมโปรตุเกสในเวลาต่อมา
การต่อต้านของอาณานิคมโปรตุเกส
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ย่อมไม่พลาดที่จะพูดถึง นั่นคือการปฏิวัติ 25 เมษายน 1974…โซนนี้จัดแสงสว่าง สดใส ใช้ตัวอักษรสีแดงบนพื้นขาว เนื้อหาเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ด้วยแผนที่ (บนพื้น) การนำเสนอคลิปข่าว/สารคดี และสรุปไทม์ไลน์ของเหตุการณ์นับจากคืนวันที่ 24 เมษายน 1974 ที่ทำให้ประเทศโปรตุเกสเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยดังเช่นทุกวันนี้
ตัวอย่างหนังสือพิมพ์หัวต่าง ๆ ที่จัดทำขึ้นภายในคุกต่าง ๆ รอบประเทศโปรตุเกส

Without Memory: There is no Future

นิทรรศการปิดท้ายด้วยประโยคที่กระแทกใจ สะท้อนชัดเจนถึงความจำเป็นที่เราต้องเอามุมมืดของประวัติศาสตร์มาคุยกันอย่างเปิดเผย เรียนรู้และยอมรับว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมหรือประเทศของเรา ซึ่งประเด็นนี้มันแสดงออกในการเล่าเรื่องและจัดแสดงที่เน้นถึงความเสียสละของผู้คนมากมายที่พยายามต่อต้านเผด็จการมาโดยตลอด จนทำให้เรามีประชาธิปไตยในวันนี้ …มันเหมือนฝังไว้ด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1974 และหลังจากนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ นี่คือสิ่งที่คนรุ่นใหม่จะต้องตระหนัก
Sem memória não há futuro

Lisbon in Revolution, 1383-1974 (Museu de Lisboa)

นิทรรศการชั่วคราวชุดนี้จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์แห่งลิสบอน สาขาพระราชวังพิเมนตา (Pimenta Palace) โดยจัดอยู่ที่เรือนกระจกแยกมาจากตัวอาคารหลัก เนื้อหาของนิทรรศการเล่าถึง 6 เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคกลางถึงปัจจุบัน (ค.ศ.1383-85, 1640, 1820, 1836, 1910 และ 1974) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่สะท้อนถึงการต่อต้านของพลเมืองจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ทั้งอัตลักษณ์ของประเทศและพลเมือง สิทธิมนุษยชนจนไปถึงเสรีภาพของพลเมืองโปรตุเกส
การเล่าเรื่องแบ่งเป็น 6 โซน/ห้อง โดยเล่าผ่านตัวละคร สถานที่หรือวัตถุสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือสถานที่เกิดเหตุ เพื่อให้เข้าใจตั้งแต่ต้นเหตุที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็แน่นอนว่ามาจากความไม่พอใจของกลุ่มคนหรือประชาชนที่ตั้งคำถามกับระบอบการปกครองประเทศในช่วงเวลานั้น ๆ หรือแม้กระทั่งความพยายามของฝ่ายสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ต้องการยึดคืนอำนาจ …นิทรรศการจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไปถึงจุดคลี่คลาย พร้อมกับนำเสนอถึงผลกระทบของเหตุการณ์ต่อประชาชน สังคม และประเทศ …
เปรียบเทียบการเลือกใช้สีสำหรับ 6 ห้อง ตามช่วงเวลาของการปฏิวัติ
เปรียบเทียบการเลือกใช้สีสำหรับ 6 ห้อง ตามช่วงเวลาของการปฏิวัติ
เปรียบเทียบการเลือกใช้สีสำหรับ 6 ห้อง ตามช่วงเวลาของการปฏิวัติ
เรื่องการใช้สีของแต่ละห้องก็น่าสนใจ โดย 3 โซนแรก (ค.ศ. 1383-85, 1640, 1820) ใช้เฉดสีเขียว 3 โทนที่แตกต่างกัน พอปี 1836 เป็นสีเหลืองทอง (เพราะเป็นความพยายามของฝ่ายกษัตริย์ในการทวงคืนอำนาจแต่ไม่สำเร็จ) ปี 1910 เป็นการปฏิวัติเพื่อล้มล้างการปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ จึงใช้สีแดงสดเป็นพื้นหลังของโซนจัดแสดง และ ปี 1974 ที่เป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญที่ทำให้ประเทศกลายเป็นประชาธิปไตย ก็ใช้สีขาวเป็นสีหลักในของนิทรรศการโซนนี้
เปรียบเทียบการเลือกใช้สีสำหรับ 6 ห้อง ตามช่วงเวลาของการปฏิวัติ
เปรียบเทียบการเลือกใช้สีสำหรับ 6 ห้อง ตามช่วงเวลาของการปฏิวัติ

การปฏิวัติคาร์เนชัน (25 เมษายน 1974)

ก่อนที่จะเข้าถึงเหตุการณ์ปฏิวัติครั้งนั้น นิทรรศการได้ปูเนื้อหาให้เห็นถึงช่วงยุคมืดของโปรตุเกสภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการ (ค.ศ. 1926 – 1974) ด้วยข้อมูลต่าง ๆ บนพื้นหลังสีดำ และเมื่อเดินจนสุดทาง ก็จะเป็นผนังสีขาว นำไปสู่เรื่องราวของการปฏิวัติในวันที่ 25 เมษายน 1974 เป็นการใช้สีที่ต้องการให้เห็นถึงความแตกต่างที่ชัดเจนของประเทศโปรตุเกส
เปรียบเทียบการเลือกใช้สีสำหรับ 6 ห้อง ตามช่วงเวลาของการปฏิวัติ
การจัดแสดงในโซนนี้ จำลองถนนในลิสบอน เพื่อให้เข้ากับวันที่เกิดเหตุการณ์และการเฉลิมฉลองของประชาชนหลังการปฏิวัติสำเร็จ รูปแบบการนำเสนอก็จะมีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้อง โดยการจัดแสดงเนื้อหาด้วยจอภาพคอมพิวเตอร์ พร้อมกับสิ่งจัดแสดงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือหลังจากเหตุการณ์ เช่น หน้าปกหนังสือพิมพ์/นิตยสารที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ในวันนั้น ภาพศิลปะ โปสเตอร์แคมเปญเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่าง ๆ ในโปรตุเกส เป็นต้น
โซนนี้ว่าด้วยการปฏิวัติคาร์เนชัน (25 เมษายน 1974) ที่ใช้สีขาวเป็นสีหลัก
โซนนี้ว่าด้วยการปฏิวัติคาร์เนชัน (25 เมษายน 1974) ที่ใช้สีขาวเป็นสีหลัก
นิทรรศการปิดจบด้วยคูหาเลือกตั้ง ที่ให้ผู้เข้าชมได้ตอบแบบสำรวจถึงเหตุผลที่เราจะเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติ เมื่อเราตอบเสร็จแล้ว ก็จะหย่อนบัตรลงในหีบลงคะแนนเสียง เป็นการใช้สัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยได้อย่างชาญฉลาดในการสร้างการมีส่วนร่วมให้กับผู้เข้าชมและถือเป็นการประเมินผลนิทรรศการไปในตัวอีกด้วย
ลูกเล่นในการสร้างการมีส่วนร่วมให้กับผู้เข้าชมนิทรรศการ

ผู้หญิงกับขบวนการปฏิวัติ

บทบาทของผู้หญิงในการปฏิวัติได้รับการไฮไลท์ในการจัดแสดงเกี่ยวกับการปฏิวัติปี 1910 โดยนำเสนอภาพของผู้หญิงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือขบวนการครั้งนั้น…แม้ว่าในช่วงเวลานั้น ผู้หญิงกว่า 80% ไม่สามารถอ่านออกหรือเขียนได้ ทำงานในภาคเกษตรกรรม โรงงานหรือเป็นเพียงแม่บ้านดูแลลูก แต่ขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวคิดสาธารณรัฐ ก็มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งเข้าร่วม และกลายเป็นบุคคลสำคัญที่นำความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดให้กับยุคใหม่ของประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่มีการศึกษา เช่น แพทย์ ครู เภสัชกร และนักหนังสือพิมพ์ แต่หลังจากการปฏิวัตินั้น แม้ผู้หญิงจะสามารถผลักดันให้ผ่านกฎหมายหย่าร้างได้ แต่ก็ยังไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งอยู่ดี
บทบาทของผู้หญิงในการปฏิวัติปี 1910
บทบาทของผู้หญิงในการปฏิวัติปี 1910

ระบอบสาธารณรัฐกับการโฆษณาชวนเชื่อ

หลังจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้ว งานโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ก็ถูกนำมาใช้โดยรัฐบาลเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแนวคิดสาธารณรัฐ ผ่านภาพของผู้หญิงใส่หมวด Phrygian ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เดียวกับการปฏิวัติฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 โดยสื่อสารภาพนี้ผ่านวาดภาพ การ์ตูนล้อเลียน โปสการ์ด โปสเตอร์ ป้ายโฆษณาและสิ่งของในชีวิตประจำวัน ซึ่งนิทรรศการก็จัดแสดงสิ่งของเหล่านี้ให้ได้ศึกษาด้วย จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะปกครองด้วยระบอบใด ก็ต้องใช้การสื่อสารเพื่อกรอบ (Frame) ความคิดของพลเมืองให้เป็นไปตามที่รัฐบาลต้องการ
นิทรรศการทั้ง 2 แห่งนี้ (และที่อื่น ๆ ที่นำเสนอในธีมเดียวกัน) นอกจากจะร่วมฉลองครบรอบ 50 ปีของการปฏิวัติครั้งสำคัญแล้ว เรายังมองว่า มันเป็นการส่งสารถึงคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ผ่านเหตุการณ์เหล่านั้น ให้ตระหนักถึงความยากลำบากของการได้มาซึ่งประชาธิปไตยของประเทศ และความโหดร้ายในช่วงนั้นได้สร้างบาดแผลให้กับผู้คนและประเทศโปรตุเกส จึงขอให้ประวัติศาสตร์นำพาเราไปสู่อนาคต (ที่ดี)…Without Memory: There is no Future…

บทความนี้เป็นประสบการณ์จากการเดินทางในฐานะนักวิจัยแลกเปลี่ยน ภายใต้โครงการ Marie Curie Research and Innovation Staff Exchange scheme within the H2020 Programme (LABOUR Project)

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *